
CONTENT WRITER คอนเทนต์ประเภทบทความ

MARVEL จับมือ NASA ส่งเสริมการเรียนรู้อวกาศ ผ่าน “#Zune” 🎧 _______________ สำหรับคอหนังมาร์เวลและผู้ที่หลงใหลในอวกาศ จะไม่พูดถึงภาพยนตร์เรื่อง “Guardians of the Galaxy Vol.3” ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในตอนนี้คงจะเป็นไปไม่ได้ 📽️🚀 เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่หลายคนรอคอย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้มาถึง สำหรับภารกิจพิทักษ์จักรวาลครั้งสุดท้ายของเหล่าแก๊งเกรียน ที่จะเป็นหนังปิดไตรภาค และเป็นการกำกับหนังเรื่องสุดท้ายของเจมส์ กันน์ ก่อนที่เหล่าการ์เดี๊ยนส์จะปิดตัวลง เราขอพามารู้จักกับที่มาของ Zune เครื่องเล่นเพลงพกพาที่ถูกนำกลับมาฉายซ้ำอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้กัน 👩🚀🪐 . . Zune เป็นเครื่องเล่นเพลงแบบดิจิตอลพกพา เป็นโปรดักซ์จากทาง Microsoft ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2006 ที่ปัจจุบันได้เลิกผลิตไปแล้ว แต่ยังคงสามารถใช้งานได้ปกติหากเครื่องยังไม่เสียหายไปก่อน 📼🎧 ในภาพยนตร์ชุด Guardians of the Galaxy ภาคแรกนั้น ตัวเอก Peter Quill จะมีเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่เป็นไอเท็มประจำตัว โดยช่วงแรกเป็นเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ต แล้วภายหลังเปลี่ยนเป็น “Zune” ในตอนจบภาค 2 ด้วยเหตุผลว่าเป็นเครื่องเล่นเพลงพกพาที่โลก (ที่ในตอนนั้นกำลังฮิตกัน) พอขึ้นภาค 3 (ปี 2023) หรือในปัจจุบัน ไมโครซอฟท์จึงได้นำมุขนี้กลับมาเล่นต่ออีกครั้ง โดยเปิดเว็บไซต์ Zune.net ร่วมกับ Marvel และ NASA เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STEAM) เรื่องอวกาศ ในธีม Guardians of the Galaxy 🌳🦝👽 . . บนเว็ปไซต์ Zune.net มีอะไรให้เราได้ลองเล่นและศึกษากันได้บ้าง? 📡การสอนเรื่องการพิมพ์โมเดลสถานีอวกาศนานาชาติแบบ 3D printing แบบเสมือนจริง 🚀สอนเขียนโค้ดสร้างเกมส์ยานอวกาศแนว Galaga ที่สามารถทดลองเล่นได้จริง 📼การเขียนโค้ดสร้างต้นแบบเครื่อง Zune (เครื่องเล่นเพลงพกพาแบบดิจิตอล) แคมเปญใหญ่ในครั้งนี้ คือการรวมตัวกันของ Microsoft, ISS National Lab, NASA และ Marvel Studios เพื่อส่งเสริมกลุ่มที่ด้อยโอกาสในการประกอบอาชีพสาขาที่เกี่ยวข้องกับอวกาศและการจัดหาทรัพยากร เพื่อช่วยจุดประกายความหลงใหลให้กับนักเรียนและคนยุคใหม่ . . แจ็กสันวิลล์ ฟลอริดา – Redwire Corporation (NYSE: RDW) ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานอวกาศสำหรับเศรษฐกิจอวกาศยุคใหม่ ประกาศความร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสร้างโอกาสในการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนใครที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “ผู้พิทักษ์แห่ง Marvel Studios” กาแล็กซี่ฉบับ 3” Steve Kitay - ผู้อำนวยการอาวุโส Microsoft Azure Space เปิดตัว Zune.net ให้เป็นเว็บไซต์เพื่อการศึกษาเชิงโต้ตอบที่มีทรัพยากรต่างๆ รวมถึงวิดีโอห้องเรียนเสมือนจริงฟรี คู่มือสำหรับครูที่ช่วยให้นักเรียนเข้าถึงเบื้องหลังการทำงานของการพิมพ์ 3 มิติในอวกาศ และแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับทักษะการเขียนโค้ดและอาชีพ STEAM ด้วยความร่วมมือนี้ Redwire และ Microsoft จึงได้สร้างสื่อการเรียนรู้เพื่อดึงดูดนักเรียนในหัวข้อวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม ศิลปะและคณิตศาสตร์ (STEAM) รวมถึงการพิมพ์ 3 มิติสำหรับการสำรวจอวกาศในอนาคต การวิจัยและพัฒนาและการผลิตในสภาวะไร้น้ำหนักเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ เพื่อช่วยให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจแก่นักเรียนในโลกแห่งความเป็นจริงในการประกอบอาชีพใน “STEAM” . . นอกจากหนังจะสนุกแล้ว ยังมีสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจให้เราลองเล่นอีกมากมาย เจ๋งสุดๆ ไปเลย ไม่อยากจะสปอยล์เลยจริงจริ๊งงง แต่หนังสนุกมากคุ้มค่ากับการรอคอย ยิ่งถ้าใครเป็นแฟนหนังมาร์เวลแล้วล่ะก็ พลาดไม่ได้เลย!!! สำหรับใครที่ไปดูหนังกันมาแล้ว แต่ยังอินอยู่ สามารถลองเข้าไปที่บนเว็ปไซต์ของ Zune.net 👉👉 https://www.zune.net/ เพื่อลองสร้างต้นแบบเครื่อง Zune กันเป็นของตัวเอง หรือจะลองเขียนโค้ดสร้างเกมส์ยานอวกาศแบบในหนังก็ได้นะ 👨🚀🚀 ไม่แน่ว่า... ทางไมโครซอฟท์อาจจะกลับมาผลิตเครื่อง Zune จำหน่ายอีกครั้งก็ได้นะ ใครจะไปรู้... 📼🎧🎶 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Guardiansofthegalaxyvol3 #Marvel ขอบคุณแหล่งอ้างอิงจาก https://www.zune.net/ https://www.windowscentral.com/ https://learn.microsoft.com/en-us/training/challenges... https://redwirespace.com/.../redwire-and-microsoft-are.../

อากาศร้อน คนยิ่ง ‘หัวร้อน’🔥🔥 ทำไมอากาศร้อนถึงส่งผลต่ออารมณ์ได้มากขนาดนั้น ? ในหน้าร้อนที่มีสภาพอากาศร้อนระอุขนาดนี้ คงเป็นอากาศที่ใครหลายคนไม่ชอบกันสักเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ชินสักที พอถึงฤดูร้อนทีไร บางทีก็พากันหงุดหงิดหรือ ‘หัวร้อน’ ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ 😤🔥 _____________ หลายคนอาจจะงงว่า ‘#หัวร้อน’ คืออะไร? ยอมรับว่าตอนแรกที่เราได้ยินคำนี้ก็แอบงงเหมือนกัน แต่พอได้ยินบ่อยๆเข้า จึงได้เข้าใจว่ามันหมายถึงเวลาที่เราอารมณ์ร้อน ฉุนเฉียวขึ้นมาฉับพลัน คล้ายเวลาที่กำลังพิมพ์งานใกล้เสร็จแล้วไฟดับกะทันหัน อะไรทำนองนั้น . . กลายเป็นความสงสัยว่า อากาศร้อนทำให้คนหัวร้อนได้อย่างไร? 💣🌋 นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือปี 1801 เป็นต้นมา นักจิตวิทยาเคยตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ว่า อารมณ์เดือดดาลและความก้าวร้าวของคนมักจะพลุ่งพล่านมากที่สุดในช่วงฤดูร้อน ซึ่งยืนยันได้จากผลการศึกษาและข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอากาศร้อนกับการแสดงออกพฤติกรรมรุนแรง โดยทั้งหมดเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า อุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นของอากาศสามารถส่งผลต่ออารมณ์และสภาพจิตใจของคนเราได้ เครก เอ แอนเดอร์สัน (Craig A. Anderson) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ประจำมหาวิทยาลัยไอโอวา สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในคนที่สนใจประเด็นนี้ โดยหลังจากค้นคว้าและศึกษาเปรียบเทียบงานวิจัยหลายชิ้น ก็ได้ข้อสรุปว่า สภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้คนโกรธ วิตกกังวล และเครียดง่ายขึ้น กลายเป็นคนฉุนเฉียวที่ใช้แต่อารมณ์มุ่งร้ายและความรุนแรง โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนหรือพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง จะมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงหลากหลายรูปแบบ สุ่มเสี่ยงก่ออาชญากรรม และฆ่าตัวตายมากกว่าผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่อากาศเย็น แม้แต่ภาวะโลกร้อน ก็มีส่วนทำให้คนหัวร้อนและสุขภาพจิตเสียได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับทุกคนทั่วโลก เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปี ปีละประมาณ 1 องศาเซลเซียส ก็ถือว่ามากพอทำให้อารมณ์ของคนร้อนขึ้นตามไปด้วย การทดลองของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พิสูจน์ว่าอากาศร้อนส่งผลต่อความคิดความอ่านและกระบวนการคิดตัดสินใจได้ โดยผลการทดลองระบุว่า การอยู่ท่ามกลางอากาศร้อนเป็นเวลานาน ๆ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการคิด อ่าน และตัดสินใจ ของคนเราจะลดลงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม อากาศร้อนยังไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ใจร้อนโดยตรง แต่เป็นตัวเร่งที่ทำให้กลไกการทำงานภายในร่างกายเปลี่ยนไป ผลก็คือ ระดับฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) จะพุ่งสูงฉับพลัน หัวใจเต้นรัว กล้ามเนื้อสูบฉีด ร่างกายจึงตื่นตัวสุดขีด ส่วนความอดทนยับยั้งชั่งใจก็ลดน้อยลง เพราะถูกกระตุ้นให้พร้อมหัวร้อนโมโหร้ายทันที ทั้งหมดเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากอากาศร้อน เหมือนโดมิโนที่ล้มต่อกันเป็นแถวยาว ด้วยเหตุนี้เอง ฮอร์โมนอะดรีนาลีน จึงมีชื่อเล่นว่า ฮอร์โมนแห่งความโกรธ ถึงตรงนี้สามารถสรุปได้ว่า “อากาศร้อนทำให้คนหัวร้อนได้ง่ายจริง” เพราะความร้อนเปลี่ยนแปลงการทำงานของร่างกาย ทำให้อารมณ์เดือดดาล เกรี้ยวกราด และพฤติกรรมก้าวร้าวของคนพลุ่งพล่านมากที่สุดในฤดูร้อน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ถ้าจะโทษว่าคนเราหัวร้อนเพราะอากาศร้อนอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะอากาศร้อนเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น และจากผลการศึกษาทั้งหลายที่ว่ามา ทำให้มีการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาความรุนแรงตามสถานที่ต่างๆ เช่น คุก โรงเรียน และสถานที่ทำงาน โดยใช้การควบคุมอุณหภูมิ เพื่อควบคุมอารมณ์ของคนอีกที เช่นการออกแบบสถานที่ให้ปลอดโปร่ง หรือติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เพื่อทำให้คนในสถานที่นั้นๆ รู้สึกผ่อนคลาย ความเสี่ยงในการใช้ความรุนแรงหรือพฤติกรรมก้าวร้าวก็สามารถลดลงได้ตามระดับ ดังนั้น ถึงอากาศจะกระตุ้นให้คนเราหัวร้อนแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ขึ้นอยู่ที่เราแล้วว่าจะเลือกแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมาหรือไม่.. 🤯🧠 . . #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #หัวร้อน #อากาศร้อน ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก Barbosa Escobar, F., Velasco, C., Motoki, K., Byrne, D. V., & Wang, Q. J. (2021). The Temperature of Emotions. PloS one, 16(6), e0252408. https://doi.orgE10.1371/journal.pone.0252408 VandenBos, G. R. (2015). APA Dictionary of Psychology (2nd ed.). American Psychological Association. https://www.hsph.harvard.edu/news/press-releases/extreme-heat-linked-with-reduced-cognitive-performance-among-young-adults-in-non-air-conditioned-buildings/ https://www.psychiatrictimes.com/view/impacts-extreme-heat-mental-health บทความเรื่อง ‘Heat and Violence’ โดย Craig Anderson

How to ไปคอนเสิร์ตแบบรักษ์โลก 💚🌏🎶 สนุกกับดนตรียังไง ไม่ให้ทำลายสิ่งแวดล้อม __________ ⠀⠀⠀ต้องพูดเลยว่า ในปัจจุบันการกลับมาของงานคอนเสิร์ตหรือเทศกาลดนตรีต่าง ๆ ได้กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นสัญญาณที่ดีของอุตสาหกรรมดนตรี แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าอุตสาหกรรมดนตรี งานคอนเสิร์ตหรือเทศกาลดนตรีนั้น เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือพูดง่ายๆก็คือ เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนนั่นเอง เมื่อคอนเสิร์ตกลับมาอีกครั้ง ‘#คาร์บอนฟุตพริ้นท์’ จากการทัวร์คอนเสิร์ตก็กลับมาอีกครั้งเช่นกัน... . . คาร์บอนฟุตพริ้นท์ คืออะไร ? 🌳 คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) คือ ปริมาณการปล่อยและดูดกลับของก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากอุตสาหกรรมต่างๆ การใช้รถ การเดินทาง หรือตลอดวัฏจักรชีวิต วัดรวมอยู่ในรูปของตัน (กิโลกรัม) ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ก่อให้เกิดการปล่อยของเสียหรือปล่อยคาร์บอนที่ไม่ดีต่อโลก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อนนั่นเอง คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของการทัวร์คอนเสิร์ตมาจากไหน ? 🎵 คอนเสิร์ตก่อให้เกิดของเสียและการปล่อยคาร์บอนที่ไม่ดีต่อโลก การแสดงเหล่านี้สามารถทำร้ายโลกเราได้มากกว่าที่เราคิดโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะทั้งศิลปินและผู้ชมคอนเสิร์ตต่างเดินทางทั้งทางบกและทางอากาศซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก นอกจากนี้ การโปรโมตอัลบั้มและการแสดงสดทั่วโลกทำให้นักดนตรีและผู้ติดตามของพวกเขาต้องเดินทางไกล จากนั้นก็ยังมีการปล่อยมลพิษจากรถทัวร์ จากการย้ายฉาก และจากการผลิตสินค้าคอนเสิร์ต รวมไปถึงสถานที่ แสง สี เสียง หรือเครื่องไฟฟ้า เครื่องพ่นควัน และอุปกรณ์ต่างๆ นักวัจัยจากองค์กร REVERB ได้ศึกษาทัวร์ของศิลปินกลุ่มนึง ผ่านเครื่องมือติดตามคาร์บอนออนไลน์ พบว่าพวกเขาปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 19 เมตริกตันในช่วงเทศกาลดนตรี งานวิจัยของ Julie’s Bicycle ซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2553 ได้ประมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการจัดคอนเสิร์ตในสหราชอาณาจักรว่าอยู่ที่ 405,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยกิจกรรมที่ก่อให้เกิด Carbon Footprint มากที่สุด คือ การใช้พลังงงานของสถานที่จัดงาน และการเดินทางของผู้ชมในการจัดคอนเสิร์ต 1 ครั้งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ช่วงประชาสัมพันธ์ไปจนถึงขายสินค้าหลังคอนเสิร์ตจบ โดยสถานที่จัดคอนเสิร์ตคือส่วนประกอบที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดถึง 34 เปอร์เซ็นต์, รองลงมาคือการเดินทางของคนดูคอนเสิร์ต 33 เปอร์เซ็นต์, การผลิตสินค้า 12 เปอร์เซ็นต์, ที่อยู่อาศัยของคนดู ทีมงาน และศิลปิน 10 เปอร์เซ็นต์, การเดินทางของศิลปิน 9 เปอร์เซ็นต์ และการประชาสัมพันธ์ 2 เปอร์เซ็นต์ จะมีวิธีไหนที่สามารถไปดูคอนเสิร์ตได้ แล้วยัง #รักษ์โลกได้บ้าง? 💚🌎 วันนี้ STeP จึงอยากมาแนะนำวิธีง่ายๆเริ่มได้จากตัวเรา ที่จะช่วยให้เราสามารถไปดูคอนเสิร์ตได้ แล้วยังรักษ์โลกได้อีกด้วย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง . . 🍷 การพกแก้วน้ำหรือขวดน้ำแบบใช้ซ้ำไปเอง 🚮การแยกขยะ ทิ้งขยะตามจุดทิ้งขยะที่สามารถรีไซเคิลได้ ♻️การลดการใช้พลาสติกโดยไม่จำเป็น เช่น หลอดพลาสติก ถุงพลาสติก 🚙การเดินทางไปคอนเสิร์ต โดยการใช้รถร่วมกันหรือใช้บริการขนส่งสาธารณะ 🎫ใช้ตั๋วคอนเสิร์ตแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทดแทนการปริ้นส์ตั๋วออกมาเป็นบัตรหรือกระดาษ . . และขณะเดียวกันก็เริ่มมีหลายวงดนตรีหันมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เช่น Coldplay, Harry Styles, The 1975, Ninja Tune, Billie Eilish หรือ Tame Impala ที่มีแพลนลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกน้อยลง และใช้อุปกรณ์การผลิตต่างๆ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นกระแสใหม่ในอุตสาหกรรมดนตรีในทุกวันนี้และต่อไปในอนาคต ที่ปลูกฝังให้ทุกคนไม่เพียงแค่รักในเสียงดนตรี แต่ก็ต้องรักในสิ่งแวดล้อมของพวกเราอีกด้วย🎸🎹 STeP เชื่อว่า ทุกคนต่างก็ชื่นชอบการชมคอนเสิร์ต และอยากให้มีการจัดคอนเสิร์ตขึ้นบ่อยๆโดยที่ไม่ทำลายโลกมากจนเกินไป เพื่อที่จะได้สนับสนุนวงการดนตรี สนับสนุนศิลปินที่ชื่นชอบทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ... และวิธีแก้ไขปัญหานี้ก็ง่ายนิดเดียว คือ เริ่มจากตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก เราจะได้สนุกกับดนตรีอย่างสุดเหวี่ยงและรักษ์โลกไปพร้อม ๆ กัน ☘️💚🌏 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP # Carbon Footprint #ภาวะโลกร้อน #คอนเสิร์ต ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.theguardian.com/music/2021/oct/14/coldplay-pledge-50-lower-co2-emissions-on-2022-world-tour https://www.bsigroup.com/th-TH/Standards/carbon-footprint/ https://www.thestorythailand.com/10/05/2023/99141/ https://urbancreature.co/concerts-carbon-footprint/

สำรวจความมหัศจรรย์ของ #รุ้ง ทำไมเราถึงมองเห็นสายรุ้งบนท้องฟ้า ? 🌈🌦️ __________ ⠀⠀⠀ต้นเดือนมิถุนายน ประเทศไทยได้เข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการแล้ว... ฝนตกทีไรเราก็จะเห็น "#สีรุ้ง" หรือสายรุ้ง เป็นประจำหลังฝนตก แล้วเคยสงสัยกันหรือไม่ ว่าทำไมรุ้งมีตั้ง 7 สี? สาเหตุเกิดจากอะไร? ทำไมเราถึงมองเห็นสายรุ้งได้บนท้องฟ้า? วันนี้ #STeP จึงขอมาพูดถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ใครอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับสายรุ้งกัน . . รุ้งเกิดขึ้นได้อย่างไร ? 🌈 รุ้ง (สายรุ้ง) หรือในชื่อภาษาอังกฤษ คือคำว่า “Rainbow” มาจากคำย่อยสองคำ คือ Rain + bow สื่อถึง “โค้งที่เกิดขึ้นเมื่อมีฝน” และมาจากภาษาละติน คำว่า “arcus pluvius” ซึ่งแปลว่า “ฝนโค้ง” หรือ “ซุ้มประตูโค้งที่มีฝนตก” รุ้ง เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งเป็นชั้นโทรโพสเฟียร์ โดยมีองค์ประกอบหลัก คือ แสงและหยดน้ำละอองเล็กๆ ในธรรมชาติ เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านหยดละอองน้ำจำนวนมาก แสงจะส่องมาที่เราในมุมเดียวกัน ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นโค้งของวงกลมหรือส่วนโค้ง บนท้องฟ้า . . เรามองเห็นสีรุ้งบนท้องฟ้าได้ยังไง ? 🌈🌧️ พื้นฐานของรุ้งก็คือ เป็นแสงแดด ซึ่งจะถูกมองว่าเป็นแสงสีขาว แต่เมื่อแสงหักเหด้วยปริซึม จะเห็นความยาวคลื่นเป็นสีที่ต่างกัน #สีรุ้ง หรือรุ้งกินน้ำจะเกิดขึ้นได้เมื่อแสงแดดกระทบกับน้ำฝนในชั้นบรรยากาศ ทุกหยดจะสะท้อนสีเหมือนปริซึมที่แสงจะแตกออกเป็นส่วนประกอบหลายสี เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านละอองน้ำเล็กๆ จะเกิดการหักเหและสะท้อนกลับหมดและเดินทางเข้าสู่ดวงตาของเรา ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นโค้งของวงกลมหรือส่วนโค้งที่มีหลากหลายสีบนท้องฟ้าหรือเรียกง่ายๆก็คือ เราจะมองเห็นเป็น สายรุ้งนั่นเอง . . รู้หรือไม่ว่า หลักทางจิตวิทยา "#รุ้ง" มีความหมายว่าอะไรบ้าง ? 📚🌈 Jacob Olesen ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสีและจิตวิทยาเกี่ยวกับสี ได้อธิบายถึงความหมายของสีทั้ง 7 โดยเปรียบเทียบกับหลักปรัชญาสมัยใหม่ให้สอดคล้องกับสีของสายรุ้ง คือ ❤️ สีแดง - สีแรกของสายรุ้ง เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความมีชีวิตชีวา ความกระตือรือร้น 🧡 สีแสด - หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์ ความขี้เล่น 💛 สีเหลือง - หมายถึง ความกระจ่างชัด ความรู้ ความเป็นระเบียบ และพลังงาน 💚 สีเขียว - สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ การเติบโต ความสมดุล สุขภาพ และความมั่งคั่ง 💙 สีน้ำเงิน - เป็นสีของท้องฟ้าและมหาสมุทรซึ่งเป็นสองสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ดังนั้นสีน้ำเงินจึงหมายถึงจิตวิญญาณและอำนาจของพระเจ้า 🌊 สีคราม - คือ ความสงบของสีน้ำเงิน จึงมีความหมายเกี่ยวกับพลังลึกลับ สัญชาตญาณ และการหยั่งรู้ 💜 สีม่วง - สีสุดท้ายของสายรุ้ง เป็นการรวมกันของสีน้ำเงินและสีแดง หมายถึง จินตนาการ แรงบันดาลใจ จะสังเกตุได้ว่า ช่วงที่ท้องฟ้ากำลังครึ้มอยู่ก่อนจะเกิดพายุหรือช่วงที่แดดออกหลังฝนตกนั้น สีรุ้งจะปรากฏให้เห็นเด่นชัดที่สุด เพราะเกิดละอองของน้ำเป็นจำนวนมากจากน้ำฝน จึงเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมเราจึงเห็นสายรุ้งเกิดขึ้นเป็นประจำหลังฝนตก... ⛈️⚡️ . . สายรุ้งไม่เพียงงดงาม แต่หากยังเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงความหลากหลายทางเพศสำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้อีกด้วย 🏳️🌈🏳️⚧️ และการได้เห็นความสวยงามของสายรุ้งเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความหวังและกำลังใจอย่างบอกไม่ถูก... คงเป็นเหมือนการตั้งตารอคอยพบกับความสวยงามหลังพายุกระหน่ำ เปรียบดังประโยคที่ว่า “ฟ้าหลังฝนนั้น ย่อมงดงามเสมอ” 🌈💧🌤️ #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #รุ้ง #สีรุ้ง #pridemonth #มิถุนาสีรุ้ง ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://punchup.world/2022/06/pridemonth/ https://adaymagazine.com/history-of-rainbow/ https://www.altv.tv/content/pr/62c3d8c474fa8bd56bcaf42c

“ยิ่งคบ ยิ่งคล้าย” ทำไมเราถึงหน้าคล้ายเพื่อนสนิท? 🤝🧑🤝🧑 __________ เคยมีใครสังเกตไหมว่า เรากับเพื่อนสนิทเริ่มมีนิสัย บุคลิก ความชอบที่เหมือนกันรึเปล่า? ตอนคบกับเพื่อนแรกๆ ก็คิดว่าหน้าไม่เหมือนกันเท่าไหร่ แต่พอเวลาผ่านไปไม่รู้ทำไมหน้าตามันเหมือนกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายคนทักว่าหน้าคล้ายกันอย่างกับฝาแฝด... 👨👩 หากใครที่มีเพื่อนสนิท ไม่ว่าจะมีมากหรือมีน้อย วันนี้ STeP จะชวนมาคุยเรื่องเพื่อนกันสักหน่อย เพราะหลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่า วันที่ 8 มิถุนายนของทุกปี คือ #วันเพื่อนสนิทสากล (Best Friends Day) . . #วันเพื่อนสนิทสากล 💑🤝 ไม่มีประวัติที่มาที่แน่นอน แต่ถูกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2478 รัฐสภาสหรัฐฯ ได้รวมตัวกันเพื่อเลือกหนึ่งวันให้เป็นวันเพื่อนสนิท สาเหตุที่เลือกวันที่ 8 คาดว่าเป็นช่วงที่ประเทศสหรัฐฯนั้นอยู่ในช่วงอากาศกำลังดี เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งต่อมาในหลายประเทศก็ได้นำวันนี้ไปใช้จนกลายเป็นวันเพื่อนสนิทสากลในที่สุด เพื่อเฉลิมฉลองความงามของมิตรภาพและแสดงความรักที่มีต่อเพื่อนสนิท . 👯 เพื่อนสนิทหน้าเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร the Society for Personality and Social Psychology เหตุผลที่คนอื่นชอบทักว่าเรากับเพื่อนสนิทหน้าเหมือนกัน เป็นเพราะมนุษย์เรามักจะสบายใจกับคนที่มีอะไรคล้ายๆกันกับเรา มนุษย์เรามักจะดึงดูดคนที่เหมือนกันมาเป็นเพื่อนกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เพื่อนสนิทจะมีอิทธิพลต่อกัน ทั้งความชอบ รสนิยม แฟชั่น การแต่งหน้า ท่าทาง คำพูด ยิ่งคบกันไปนานๆ หน้าตา ลักษณะทางกายภาพก็เริ่มจะคล้ายกันขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลก็เป็นเพราะว่า เพื่อนกันก็มักจะแสดงสีหน้า ท่าทางคล้ายๆ กัน เช่น การหัวเราะ ขมวดคิ้ว การยิ้ม และการแสดงอารมณ์ต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของรูปหน้าให้ไปในทิศทางเดียวกันได้อีกด้วย . 🧠 เพื่อนสนิทเหมือนกันยันคลื่นสมอง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย California และ Dartmouth College ศึกษากลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาจำนวน 279 คน ให้แบ่งเป็นกลุ่ม 42 คนเพื่อดูคลิปวิดีโอในเวลาเดียวกันนักวิจัยก็จะดูภาพคลื่นสนามแม่เหล็ก (MRI) เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมองของพวกเขาในขณะนั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็แทบจะทำให้ทีมวิจัยบอกได้เลยว่ามีคนไหนบ้างที่เป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะปฏิกิริยาการตอบสนองของสมอง ทั้งในส่วนของการเรียนรู้ ความจำและอารมณ์ ของคนที่เป็นเพื่อนกันจะคล้ายคลึงกันมากๆ นั่นหมายความว่าเพื่อนจะมีวิธีคิด แนวทาง การรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เหมือนๆ กัน ถึงจะเป็นเพื่อนกันได้ . 🩸 ความเพื่อนเหมือนกันยัน DNA DNA คือสารพันธุกรรมที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่งถ่ายทอดมาจากพ่อแม่สู่ลูก แน่นอนว่าเพื่อนสนิทเป็นลูกคนละพ่อคนละแม่กับเราแน่ๆ แต่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford, Duke และ Wisconsin พิสูจน์แล้วว่าคนเป็นเพื่อนซี้กันจะมี DNA ที่คล้ายคลึงกันมากกว่าคนแปลกหน้า ศึกษาจากคู่เพื่อนซี้วัยรุ่นชาวอเมริกันกว่า 5,500 คน เมื่อจับ DNA ของคู่เพื่อนมาเทียบกัน พบว่าจะมีส่วนที่เหมือนกัน 2 ใน 3 เหมือนกับคู่แต่งงานเลยทีเดียว เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือเพื่อนสนิทกันมักมาจากคนที่มีพื้นเพ สภาพแวดล้อมใกล้ๆ กัน การศึกษาระดับเดียวกัน ส่วนสูงหรือน้ำหนักเท่าๆ กัน พูดง่ายๆ ก็คือคนเรามักดึงดูดและเป็นเพื่อนกับคนที่เหมือนๆ กันนั่นเอง . . ดังนั้นเป็นเรื่องจริงที่เราและเพื่อนสนิทมักจะมีหน้าตาที่คล้ายกัน รวมไปถึงมีบุคลิก นิสัย และความชอบที่เหมือนกันอีกด้วย... และไม่ว่ามิตรภาพจะมาในรูปแบบความสัมพันธ์ใดก็ตาม อาจเป็นเพื่อนสนิท คนรู้จักหรือคนรู้ใจ แต่การที่มีคนคอยรับฟังเรา ไม่ตัดสินเราและคอยอยู่เคียงข้างเราได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากในชีวิต “คนที่มีมิตรภาพที่ดี มักจะมีแนวโน้มที่ชีวิตที่ดีขึ้น” อย่าลืมขอบคุณเพื่อนสนิทที่อยู่ในช่วงชีวิตของเราด้วยนะ เพราะทุกมิตรภาพนั้นสวยงามเสมอ... 💑🤝🥰 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Bestfriendday #เพื่อนสนิท #เพื่อน ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.insider.com/common-similarities-between-friends-2018-4 https://www.psychologytoday.com/intl/blog/cutting-edge-leadership/201708/why-do-you-and-your-friends-look-so-much-alike https://www.rd.com/article/why-you-and-your-friends-look-alike/

มอง 'ความงาม' จากมิติของวิทยาศาสตร์ : แบบไหนถึงเรียกว่า ‘หน้าตาดี’ ? 👨👩 __________ เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมคนนั้นคนนี้จึงสวยหล่อ ทำไมคนบางคนถึง #หน้าตาดี ? ความหน้าตาดี มีอะไรเป็นตัวกำหนดการรับรู้หรือเปล่า? หรือว่าความสวยงามนั้นมีลักษณะที่เป็นมาตรฐานสากล แล้วเราจะมองความงามอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร... คำว่า หน้าตา ก็ไม่ได้หมายถึงแค่ใบหน้าเพียงอย่างเดียว และคำว่า หน้าตาดี ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะทางภายนอกของตัวเราแค่อย่างเดียวอีกเช่นกัน จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วแบบไหนถึงเรียกว่า ‘หน้าตาดี’ ? 😱 . . 🦲 ‘สมมาตร’ ของใบหน้า ความสมมาตร คือ การมีใบหน้าสองซีกที่เหมือนเป็นกระจกส่องสะท้อนกัน อาจไม่ถึงขั้นเป็นภาพเหมือนที่สมบูรณ์แบบ (ไม่มีมนุษย์คนไหนมีใบหน้าสมมาตรได้ร้อยเปอร์เซ็นต์) แต่ต้องเหมือนกันมากพอจะทำให้ดวงตาของผู้มองเห็นได้ว่าสองซีกของใบหน้านั้นเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า ใบหน้าที่มีสมมาตรนั้น เป็นใบหน้าที่เป็นผลมาจากสุขภาพที่ดีกว่า ใบหน้าสมมาตรได้ส่วน เป็นใบหน้าที่พัฒนามาจาก ‘ยีนที่ดี’ 🧬ทั้งยังต้องได้รับสารอาหารมากเพียงพอตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ดังนั้น การมีใบหน้าที่สมมาตรจึงแสดงให้เห็นทั้งเรื่องของพันธุกรรมและความงามที่ส่งผลต่อความชื่นชอบของผู้มอง จากการทดลองของมหาวิทยาลัย Brunel แสดงให้เห็นถึงอาการตอบสนองของเด็กทารก โดยให้ทารกมองดูภาพของใบหน้าของคนที่หลากหลาย พบว่าทารกจะชอบคนที่มีใบหน้าสมมาตรมากกว่า และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสีผิวหรือเชื้อชาติเลยทั้งสิ้นปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดแค่กับทารกที่เป็นมนุษย์เท่านั้น เพราะมีการทดลองในลิง ก็พบว่า ลิงจะจ้องมองใบหน้าที่มีความสมมาตรนานกว่าใบหน้าที่ไม่สมมาตรด้วยเช่นกัน 👶🙉 . 🔍ใบหน้ามี ‘ความอยู่ในค่าเฉลี่ย’ เรามักคิดว่า คนหน้าตาดีน่าจะเป็นคนที่มีหน้าตาโดดเด่น จึงมีใบหน้าดูดีสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่คำว่า ‘ค่าเฉลี่ย’ ในที่นี้ หมายถึง ค่าเฉลี่ยในทางคณิตศาสตร์ของลักษณะบนใบหน้าคน (หรือเรียกว่า ‘เครื่องหน้า’)👃👄ซึ่งคือการนำเอาปัจจัยต่างๆ มาคำนวณ ตัวอย่างเช่น ระยะห่างระหว่างดวงตาบนใบหน้า ซึ่งคนทั่วไปจะมีระยะห่างที่ว่านี้แตกต่างกันออกไป บางคนก็ตาห่างมาก บางคนก็ตาห่างน้อย หรือจมูกเมื่อเทียบกับปากและตาแล้วอยู่ต่ำสูงอย่างไร เป็นต้น ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียในซานดิเอโก และมหาวิทยาลัยโทรอนโตในแคนาดา วิเคราะห์เกี่ยวกับค่าเฉลี่ยของใบหน้าคนที่ ‘หน้าตาดี’ จะมีระยะห่างนี้ใกล้เคียงกับ ‘ค่าเฉลี่ย’ มากที่สุด นั่นคือถ้าเราเอาระยะต่างๆ ของเครื่องหน้ามาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนคน เราจะได้ค่าเฉลี่ยนี้ออกมา พบว่ามนุษย์ด้วยกันจะมีเครื่องหน้าที่มีระยะห่างต่างๆ ใกล้เคียงกับ ‘ค่าเฉลี่ย’ มากที่สุด . 🧐แล้วหน้าตาอยู่ในค่าเฉลี่ยแบบนี้ มีประโยชน์ยังไง ? คำตอบก็คือ ‘ความพอดี’ เพราะความพอดีจะแสดงถึงความปกติ ไม่พิการ ไม่บกพร่อง แสดงถึง บุคคลนั้นมีสุขภาพที่ดีและสมบูรณ์ มนุษย์เราหรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนแต่ต้องการคู่รักที่มียีนที่แข็งแรง เพื่อลูกจะได้แข็งแรงอยู่รอดสืบพันธุ์ต่อไป แต่คนเรานั้นมองเห็นยีนไม่ได้ เราเลยมองสิ่งที่สะท้อนออกมาจากส่วนหนึ่งของยีน นั่นก็คือใบหน้า รวมถึงลักษณะทางกายภาพภายนอก ดังนั้นความสมมาตรและความอยู่ในค่าเฉลี่ยแบบนี้แหละที่มนุษย์จะชอบ และมองว่าสวยหล่อ มองว่าหน้าตาดี นั่นเอง . . ในทางกลับกัน ความหน้าตาดีนั้น ก็อาจก่อให้เกิด ‘มาตรฐานสากล’ (Beauty Standard) ที่สร้างความเหลื่อมล้ำและสร้างความบอบช้ำทางใจผ่านการบูลลี่ต่าง ๆ นานาบนโลกโซเชียลได้ แต่หาก #เรามองความงามด้วยสายตาของวิทยาศาสตร์ และทำความเข้าใจว่านี่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งในร่างกายของมนุษย์ เราก็จะสามารถใช้สติปัญญาคอยควบคุมและระมัดระวังไม่ให้เกิดปัญหาได้ จงมั่นใจและภูมิใจในสิ่งที่มี สร้างเสน่ห์ด้วยความคิดและทัศนคติที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดความงาม สร้างคุณค่าและความสุขให้กับตัวเรา.....“เพราะทุกคนล้วนดูดีในแบบของตัวเอง เพียงแค่คุณมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง” 🗿😊 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Beautystandard #หน้าตาดี #ความสวยหล่อ #สวยในแบบของตัวเอง ขอบคุณที่มา : http://www.bbc.com/future/story/20150622-the-myth-of-universal-beauty http://johjaionline.com/opinion https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/647409

วิทยาศาสตร์แห่งการ “#นอน” : ง่วงแทบตาย แต่ทำไมขึ้นเตียงแล้วหายง่วง? 🛌💤 _________________ เคยไหมที่หลังเลิกจากงาน เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แล้วเกิดอาการง่วงจนอยากจะล้มตัวลงบนเตียงนุ่ม ๆ แต่เมื่อถึงเวลานอน หัวถึงหมอน สมองที่เคยอ่อนล้าก็กลับ ‘ตื่น’ ราวกับไม่เคยรู้สึกง่วงมาก่อน... 😪🌛 เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอนมีอยู่จริงและเกิดขึ้นกับใครหลาย ๆ คนในยุคปัจจุบัน ที่ในหนึ่งวันแทบจะหาเวลาว่างเป็นของตัวเองไม่ได้ ดังนั้น หลังจากเลิกเรียน เลิกงาน หรือทำธุระประจำวันเสร็จเรียบร้อย ก็มักจะใช้เวลาก่อนนอนทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ดูซีรีส์ เล่นเกม ไถTiktok เล่นโซเชียลอื่น ๆ เพื่อความบันเทิงใจ แม้จะเพลีย จะเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ยอมนอน... พูดง่ายๆก็คือ แม้เราจะเหนื่อย จะง่วงแค่ไหน แต่ร่างกายเราทำไมกลับ '#ตื่น' ? . . 🦉Revenge bedtime procrastination Revenge bedtime procrastination คือ พฤติกรรมการเข้านอนดึก ๆ โดยที่ไม่มีเหตุให้ต้องนอนดึก ถูกนิยามขึ้นเมื่อปี 2014 ในการศึกษาของ ดร.ฟลอร์ ครอว์เซ่ นักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรม มหาวิทยาลัยยูเทรกต์ (Utrecht University) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้อธิบายว่ามันหมายถึง การที่มนุษย์เรายังคงทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยแม้รู้ตัวว่าจะต้องเข้านอน ทำทั้งที่รู้ว่าควรต้องพักผ่อนแล้ว และแม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย เพลียแสนเพลียสักแค่ไหน แต่ก็คงยังไม่ยอมนอนง่าย ๆ นั่นเอง . 🛌 ที่นอน = การตื่น ? มีข้อสันนิษฐานทางวิทยาศาสตร์หลายประการที่ช่วยอธิบายถึงภาวะนี้ นับตั้งแต่การที่สมองคิดว่า ‘ที่นอน’ นั้นเท่ากับ ‘การตื่น’ เพราะหากคุณเคยใช้ที่นอนในการทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากการนอน เช่น การดูโทรทัศน์, อ่านหนังสือ, เล่นสมาร์ทโฟน หรือแม้แต่ทำงาน สมองก็จะจดจำว่าที่นอนเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ร่างกายต้องตื่นตัว และมีไว้สำหรับทำ ‘กิจกรรมตอนตื่น’ ได้เช่นกัน . ☕ กาแฟ การดื่มกาแฟที่มีกาเฟอีนมากเกินไป ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เมื่อหัวถึงหมอนแล้วนอนไม่หลับ เพราะหากมนุษย์เรามีกาเฟอีนในร่างกายเกินกว่า 400 มิลลิกรัม (หรือราว 2 แก้วกาแฟ) ภายในระยะเวลาหกชั่วโมงก่อนเข้านอน ก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้ร่างกายของเราหลับไม่ลง ไปจนถึงภาวะเครียดหรือวิตกกังวลกับชีวิตในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงโรคนอนไม่หลับ ที่อาจส่งผลต่อการนอนในลักษณะเดียวกัน – ซึ่งไม่ว่าสาเหตุของภาวะ ‘เหนื่อยแต่ไม่หลับ’ นี้จะเกิดขึ้นมาจากอะไร ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เราต้องเสียเวลาพักผ่อนในตอนกลางคืนไปได้หลายชั่วโมง เกิดความวิตกกังวลว่าจะนอนไม่พอไปโดยอัตโนมัติ และอาจตื่นมาอย่างอ่อนเพลียได้ไม่ต่างกัน . 📲 โซเชียลมีเดีย นักวิทยาศาสตร์ ได้มีการเริ่มต้นประเมินผลกระทบของการใช้โซเชียลมีเดียต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิต โดย เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดีย ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ชีวิตของเรา ในรูปแบบของบล็อกบริการ เช่น Facebook, Twitter และ Tiktok ซึ่งได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในปัจจุบัน เครือข่ายเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตคนเราในยุคสมัยใหม่ การเช็กอีเมลหรือเล่นโซเชียลมีเดียก่อนนอน อาจส่งผลให้สมองมีการตื่นตัวมากขึ้น เนื่องจากแสงไฟจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ฮอร์โมนที่จะช่วยกระตุ้นการนอนหลับอย่าง #เมลาโทนิน หลั่งออกมาได้ช้าลง จึงเป็นผลที่ทำให้คุณภาพการนอนหลับลดลง . 🎮 ติดเกม ติดซีรีส์ มีการศึกษาวิจัยสมองของคนที่เสพติดเกม พบว่า มีวงจรการทำงานของสมองที่ผิดปกติเหมือนคนที่ติดสารเสพติดจริง ทั้งความผิดปกติทางด้านโครงสร้าง การทำงาน และสารสื่อประสาท ที่ผิดปกติ แต่ละคนมีความเปราะบางต่อการติดเกมไม่เหมือนกัน ดังนั้น ไม่จำเป็นว่าทุกคนที่เล่นเกมจะต้องเสพติดเกมเสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เพียงแต่การที่เริ่มเล่นเกมก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเสพติดเกมได้ รวมไปถึงการนอนหลับที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะเมื่อสมองตื่นตัวตลอดเวลา จากการคิด วิเคราะห์ และใช้อารมณ์ร่วมในการเล่นเกมหรือดูซีรีส์ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เราไม่ยอมนอนถึงแม้จะง่วงมากก็ตาม . 🪴สิ่งแวดล้อม วิทยาลัยแพทย์เพเรลแมนแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์ ศึกษาวิจัยพบว่า มลพิษทางอากาศ ห้องนอนที่อบอุ่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเสียงรอบข้างในระดับสูง อาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการนอนหลับสนิทของเรา โดยทีมวิจัยได้ติดตามการนอนหลับของอาสาสมัคร 62 คนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยบันทึกกิจกรรมและข้อมูลการนอนหลับ พบว่า ระดับมลพิษทางอากาศในห้องนอนที่สูง เช่น ฝุ่น PM2.5 ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ระดับเสียงรบกวน และระดับอุณหภูมิในห้อง ทั้งหมดล้วนมีส่วนทำให้ประสิทธิภาพการนอนหลับลดลงทั้งสิ้น . . อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน แต่อาการง่วงแต่กลับตื่นเมื่อหัวถึงหมอนนั้น อาจเป็นสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในภาวะการนอนของเรา ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ใหญ่โตกว่านั้นได้ หากเรายังปล่อยให้ภาวะนี้เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ... ที่มันไม่ควรปกติ ! เราจึงควรหาทาง ‘ซ่อม’ 👨🔧ภาวะการนอนของตัวเองโดยด่วน ก่อนที่เราจะต้องพึ่งพาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จากการปล่อยปละร่างกายให้ ‘#เหนื่อยแต่นอนไม่หลับ’ แบบนี้... 🧠🌙 💤 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #การนอน #นอนไม่หลับ #ง่วงนอน #หายง่วง #สุขภาพดี ขอบคุณที่มา : https://livestrong.com https://www.phyathai.com/article_detail/3260/th/ https://health.kapook.com/view261538.html https://www.pptvhd36.com/health/care/3241

5 เทคโนโลยีที่ใช้ในการค้นหาใต้ท้องทะเลลึก ที่อาจจะช่วยค้นหา ‘เรือไททัน’ ได้ทัน ! 🚢⚓ _______________________________ ในวินาทีนี้จะไม่พูดถึง #เรือดำน้ำไททัน 🛳 ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะด้วยสถานการณ์ที่กำลังชี้ชะตาชีวิตอยู่นั้น ผู้คนทั่วโลกต่างพากันตั้งตารอคอยและติดตามสถานการณ์นี้กันอย่างมีความหวัง STeP ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจและขอให้สถานการณ์ครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราเชื่อว่าทุกๆคนเองต่างก็อยากให้พวกเค้ารอด วันนี้เราจึงอยากมานำเสนอเทคโนโลยีใต้น้ำที่ใครหลายๆคนอาจยังไม่รู้จัก และอาจจะสามารถเป็นทางเลือกในการช่วยสำรวจและค้นหาเรือไททันให้รอดปลอดภัยได้สำเร็จ 🔎 อย่างที่ทราบกันดีว่า ตอนนี้มีการใช้เทคโนโลยี #เครื่องโซนาร์ 🔊หรือการใช้คลื่นเสียงตรวจหาวัตถุใต้น้ำในการค้นหา แล้วจะมีเทคโนโลยีอะไรอีกบ้างที่จะสามารถพัฒนาและนำไปใช้ในการค้นหาเรือดำน้ำไททันในครั้งนี้ได้ มาดูกัน 👇 . . 📡เครื่องระบุตำแหน่ง GPS ผ่านดาวเทียม การระบุตำแหน่ง GPS ผ่านดาวเทียมได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากมีความถูกต้องของตำแหน่งสูงโดยใช้การประมวลผลระยะห่างของดาวเทียมประมาณ 18-24 ดวง ที่โคจรรอบโลก ระบบ GPS สามารถทำงานได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อการเดินทางทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถหาจุดสังเกตหรือสถานที่ชัดเจน เช่น ทะเลทราย มหาสมุทร เทคโนโลยีการระบุตำแหน่ง GPS ถูกพัฒนาขึ้นโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา ก่อนเริ่มมีการเปิดให้บริษัทเอกชนนำไปพัฒนาต่อยอดและจำหน่ายเป็นอุปกรณ์ GPS เชิงพาณิชย์ เนื่องจากดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลกมีตำแหน่งที่แน่นอนระบบจึงใช้ตำแหน่งของดาวเทียมแต่ละดวง อ้างอิงกับตำแหน่งปัจจุบันบนโลกใช้การคำนวณแบบสามเหลี่ยมผสมกับการระบุตำแหน่งแบบละติจูดและลองจิจูด ระบบ GPS สามารถทำงานได้ต่อเนื่องตามเวลาจริงแม้ผู้ใช้งานระบบอยู่บนยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ความแม่นยำของระบบ GPS มีความคลาดเคลื่อนน้อยโดยปัจจุบันสามารถระบุตำแหน่งแม่นยำในระดับ 1-3 เมตร ผู้ใช้งานระบบ GPS สามารถหาซื้ออุปกรณ์ระบุตำแหน่ง GPS ได้จากบริษัทเอกชนชั้นนำหลายแห่ง นอกจากนี้ระบบ GPS ยังได้ถูกพัฒนาไปใช้งานบนนาฬิกา ระบบนำทางบนรถยนต์ส่วนบุคคลหรืออุปกรณ์สมาร์ตโฟน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานจำนวนมากในปัจจุบัน . 🤖หุ่นยนต์ Aquanaut NASA หุ่นยนต์ Aquanaut ถูกสร้างจากทีมวิศวกรผู้พัฒนาหุ่นยนต์จากศูนย์อวกาศของนาซ่า ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง NASA และ General Motors เป็นการออกแบบหุ่นยนต์ใต้น้ำที่เปลี่ยนรูปร่างได้ซึ่งเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมการเดินเรือ และการสำรวจใต้ท้องทะเลมหาสมุทร สามารถว่ายน้ำไปยังจุดหมายปลายทางและดำเนินงานต่างๆ ได้โดยมีการควบคุมดูแลเพียงเล็กน้อย ช่วยประหยัดเงินสำหรับการดำเนินงานนอกชายฝั่งตั้งแต่บ่อน้ำมันและกังหันลมไปจนถึงฟาร์มปลาและอีกมากมาย หุ่นยนต์ตัวนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และมีขนาดประมาณรถสปอร์ตขนาดเล็ก มีลักษณะคล้ายกับตอร์ปิโดที่ขับเคลื่อนด้วยใบพัดที่โฉบเฉี่ยวขณะที่มันขับเคลื่อนไปยังจุดหมาย เมื่อถึงจุดนั้น เปลือกของมันเปิดออก และจมูกก็พลิกขึ้นเพื่อเผยให้เห็นชุดกล้องและเซ็นเซอร์อื่นๆ ที่ตอนนี้หันไปทางด้านหน้า แกว่งแขนหลายข้อต่อสองแขนออก ปิดท้ายด้วยกรงเล็บมือที่คล่องแคล่วซึ่งสามารถติดตั้งเครื่องมือต่างๆ ได้ . 🤖หุ่นยนต์ดำน้ำอัตโนมัติ Hydrus Hydrus หุ่นยนต์ดำน้ำอัตโนมัติ AUV (Autonomous underwater vehicles) ผลิตขึ้นจากบริษัท Advanced Navigation บริษัทด้านเทคโนโลยีเรือดำน้ำในประเทศออสเตรเลีย ที่ใช้ต้นทุนและราคาที่ถูกแต่มีประสิทธิภาพในการสำรวจ หุ่นยนต์ดำน้ำอัตโนมัติ Hydrus ฉีกรูปแบบเดิม ๆ ของหุ่นยนต์ดำน้ำที่มักมีลักษณะเป็นรูปทรงตอร์ปิโดคล้ายเรือดำน้ำขนาดเล็ก โดยทีมงานของบริษัทใช้การออกแบบใหม่ที่คำนึงถึงการใช้งาน การเคลื่อนไหวที่มีความคล่องตัวในทิศทางต่าง ๆ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมาให้การดำน้ำเข้าสู่พื้นที่แคบ เช่น ซากเรือจมใต้มหาสมุทร หุ่นยนต์ดำน้ำอัตโนมัติขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ลิเธียม มอเตอร์ไฟฟ้าทำความเร็วสูงสุดใต้น้ำ 4 นอต หรือ 7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถดำน้ำลึกสูงสุด 3 กิโลเมตร ควบคุมจากระยะไกลสุด 9 กิโลเมตร จากเรือที่ลอยอยู่ผิวน้ำในมหาสมุทร กล้องบันทึกภาพวิดีโอความคมชัด 4K/60fps พร้อมติดตั้งไฟสปอตไลต์ LED ส่องสว่างมากถึง 8 ดวง ความสว่าง 20,000 ลูเมน จุดแข็งของหุ่นยนต์ดำน้ำอัตโนมัติ Hydrus คือ การระบุตำแหน่งบนผิวน้ำและใต้น้ำ การระบุตำแหน่งบนผิวน้ำเชื่อมต่อระบบ GPS ผ่านดาวเทียม ส่วนการระบุตำแหน่งใต้ผิวน้ำใช้เทคโนโลยีระบบคลื่นเสียงโซนาร์ ตรวจสอบความเร็วและทิศทางการเคลื่อนที่ใต้ผิวน้ำ การติดต่อสื่อสารกับเรือบนผิวน้ำผ่านเทคโนโลยีไร้สาย นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบกำหนดตำแหน่งเสียงใต้น้ำแบบเบสไลน์สั้นพิเศษ (USBL) เพิ่มเติมโดยใช้เสียงอะคูสติกบรอดแบนด์สเปรดสเปกตรัมใต้น้ำและเทคโนโลยีการซิงโครไนซ์ระบุตำแหน่งใต้น้ำที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งเป็นระบบที่มีความสำคัญมากในกรณีการสำรวจใต้น้ำที่มีความลึก . 🛩โดรนดำน้ำ SeaSearcher โดรน SeaSearcher เป็นเทคโนโลยีที่เกิดจากการร่วมมือกันของบริษัท SeaFarer และทิม เรย์โนลส์ CEO ของบริษัท Wild Manta ซึ่งในตอนนี้พวกเขาได้ทำการสำรวจส่วนลึกของน่านน้ำในพื้นที่ทางใต้ของ Cape Canaveral ในฟลอริดา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสำรวจพื้นที่บริเวณซากเรืออับปางเก่าแก่ของสเปนที่สูญหายไปขณะแล่นเรือไปและกลับจากฮาวานา เป็นโดรนดำน้ำที่สามารถบังคับได้จากระยะไกล ติดตั้งโปรแกรมล่วงหน้าให้เดินทางสำรวจเพื่อช่วยเก็บข้อมูลจากใต้ท้องทะเล โดยการสร้างแผนที่ 3 มิติจำลองพื้นผิวก้นทะเลหรือวัตถุต่าง ๆ ใต้น้ำ นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการตรวจจับโลหะและจำแนกประเภทได้อย่างแม่นยำ โดยโดรนตัวนี้สามารถตรวจจับโลหะได้ลึกถึง 100 เมตรใต้พื้นทะเล เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์ในการค้นหาวัตถุสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือทรัพย์สมบัติที่สูญหาย โดยที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อลงไปสำรวจด้วยตัวเอง นอกจากการสำรวจใต้พื้นทะเลแล้ว โดรนนี้ยังมีหน้าที่สำรวจบริเวณซากเรืออับปาง ซึ่งผู้ผลิตเชื่อว่ามีสมบัติที่ถูกพายุซัดจนฝังลึกลงใต้พื้นทะเล และยังไม่เคยมีอุปกรณ์ใดที่ช่วยในการสำรวจโลหะเหล่านั้นได้อย่างละเอียดและแม่นยำเท่าโดรนนี้ . 🚤ยานอัตโนมัติไร้คนขับ ROVs ยานอัตโนมัติใต้น้ำ (Autonomous Underwater Vehicles หรือ AUVs): AUVs เป็นยานอัตโนมัติที่ไม่มีคนขับ ติดตั้งระบบโซนาร์, ติดตั้งกล้องทะเลลึก (Deep-Sea Cameras) และเซ็นเซอร์ทะเลลึก (Deep-Sea Sensors) ซึ่งจะถูกควบคุมจากระยะไกลบนพื้นผิวน้ำ ช่วยให้นักวิจัยสามารถสำรวจและสะสมตัวอย่างจากท้องทะเลลึกได้อย่างละเอียดอ่อน เป็นยานอัตโนมัติที่สามารถนำทางได้เองในน้ำทะเล โดยไม่ต้องมีสายสั่งการ เพื่อทำการสร้างแผนที่ส่วนล่างของทะเล เก็บข้อมูลและค้นหาเป้าหมายที่ต้องการ ยานอัตโนมัติตัวนี้จะใช้เทคโนโลยีโซนาร์เพื่อสร้างแผนที่ละเอียดของดินหน้าทะเลและสิ่งแวดล้อมใต้น้ำ พวกเครื่องส่งสัญญาณเสียงแบบหลายแบนด์และโซนาร์ด้านข้าง (side-scan sonars) เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้เพื่อให้ได้ภาพละเอียดสูงและระบุจุดเป้าหมายที่อาจต้องการสำรวจเพิ่มเติม . . ในการค้นหาเรือดำน้ำหรือการสำรวจโลกใต้ท้องทะเลนั้น อาจมีทั้งความงามและอันตรายรออยู่ การพัฒนาระบบเครื่องมือ อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบัน ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าและมีบทบาทกับโลกของเราในอนาคต และยังเป็นแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายในอนาคตได้อีกด้วย ... 🌊🚢⚓ #CMUSTeP #Makeinnovationsimple #STePInnonews #Technology #Titan #เรือดำน้ำไททัน #เรือดำน้ำ ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : https://www.tnnthailand.com/news/tech/110448/ https://newatlas.com/marine/hydrus-autonomous-underwater-vehicle/ https://www.tnews.co.th/foreign/general-news/ https://www.dailynews.co.th/news/ https://seafarerexplorationcorp.com/seasearcher/ https://www.mmthailand.com/the-mayflower-autonomous-ship/ https://www.techbriefs.com/component/content/article/tb/pub/features/nasa-spinoff/46802

วิทยาศาสตร์ของ ‘เบียร์’ 🍻 มีอะไรอยู่ในเบียร์ ทำไมดื่มแล้วอารมณ์ดี ? 🤩🥳 __________________ เคยสงสัยกันไหม? ว่าทำไมคนเราชอบเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่าน้ำเปล่า? ไม่ว่าจะเป็น เหล้า ไวน์ หรือเบียร์ ที่ดื่มแล้วคลายเครียดได้จริงหรือ? หรือความจริงแล้วอาจเป็นเพราะเรื่องของความรู้สึกหลังจากการดื่มเสียมากกว่า... เพราะหลายคนอาจรู้สึกเป็นสุขและผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อกลับบ้านมาจิบเบียร์ให้ชื่นใจหลังเลิกงาน, การได้ออกไปสังสรรค์นั่งดื่มกับเพื่อนในวันหยุด หรือแม้แต่การจิบเบียร์เย็นๆสักนิดก่อนนอน ให้เราหลับสบายขึ้น... 🍷💤 ชีวิตของคนเราเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย บางทีก็เหงา บางครั้งก็เศร้า เมื่ออารมณ์แย่ๆ มันห้ามกันไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีเพิ่มความสุขให้ตัวเองสิจริงมั้ย? 🤪 หลายคนอาจเลือกไปออกกำลังกาย ดูซีรีส์ เล่นเกมส์ หรือการท่องเที่ยว การสังสรรค์และ #ดื่มเบียร์แก้เครียด🍺 เมื่อร่างกายเราถูกใจอะไรเข้า มันก็จะเรียกร้องหาสิ่งนั้นมากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ใครหลายๆคนมีความสุข เมื่อได้กินอาหารหรือเครื่องดื่มที่อยากกิน และถึงแม้จะอิ่มแล้วแต่ก็ยังหยุดกินไม่ได้ เช่นเดียวกับการดื่มเบียร์นั่นเอง... 🍻 . . วิทยาศาสตร์ของเบียร์ ? 🍺 เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จากการหมักและจุลินทรีย์ที่มีส่วนสำคัญในกระบวนการนี้คือ ‘ยีสต์’🧬เป็นกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพที่เก่าแก่ของมนุษยชาติอย่างหนึ่ง ยีสต์ที่ใช้ในการผลิตนั้นมีความหลากหลายทำให้เบียร์มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเป็นความรู้ทางพันธุศาสตร์ของยีสต์ผ่าน genome sequencing ที่แสดงให้เห็นถึงการคัดสายพันธุ์ยีสต์ที่มีมาตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบัน . ยีสต์หมักเบียร์ 🧫 ยีสต์ คือ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว มีโครงสร้างพื้นฐานเป็น คาร์บอน เหมือนๆกันกับคุณและผม และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ยีสต์ถึงต้องการออกซิเจนและแร่ธาตุที่ใช้ในการเจริญเติบโตเหมือนมนุษย์ ยีสต์คือสัตว์ที่กินน้ำตาลเป็นอาหาร แล้วสามารถเปลี่ยนโมเลกุลน้ำตาลกลายเป็นยีสต์เซลล์ตัวใหม่ได้ อย่างน่าอัศจรรย์ และผลจากการกินน้ำตาลก็จะได้ Ethanol, CO2 และ flavor compounds ซึ่ง Ethanol จากเบียร์นี่เอง ที่ทำให้เราเมา วันนี้ STeP จะพามาไขข้องสงสัยว่า มีอะไรอยู่ใน #เบียร์ ทำไมคนเราดื่มแล้วถึงอารมณ์ดี ? มาดูกัน👇 . . 🧠🧬DOPAMINE โดปามีน (Dopamine) หรือ “สารแห่งความสุข” 💓 เป็นสารเคมีที่พบตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ซึ่งสังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อประสาทและต่อมหมวกไตเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เป็นทั้งสารสื่อประสาทและฮอร์โมน นอกจากนี้ยังเป็นสารตั้งต้นของการสังเคราะห์ นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine หรือ noradrenaline) และ เอพิเนฟริน (epinephrine หรือ adrenaline) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนตัวนี้มีความเกี่ยวกับความพึงพอใจ รักใคร่ และยินดี เป็นสารที่หลั่งออกจากสมองกับเซลล์ประสาทในร่างกาย จากการศึกษาและวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยอินเดียนา (Indiana University School of Medicine) สหรัฐฯ เปรียบเทียบผลการฉีดพ่นน้ำเปล่า เครื่องดื่มสำหรับผู้ออกกำลัง และเบียร์ที่ผู้เข้ารับการทดลองชื่นชอบ จำนวน 45 คน ผลที่ออกมาเผยว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดพ่นเบียร์จะมีโดปามีน (dopamine) หรือสารเคมีกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกเป็นสุขหลั่งออกมาหลังได้รับการกระตุ้นด้วยเบียร์ และผู้ชายเหล่านั้นก็กล่าวว่าอยากจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น พูดง่ายๆก็คือ เมื่อเราได้ลิ้มรสชาติของเบียร์หรือแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเพิ่มความอยากในการดื่มได้มากขึ้นนั่นเอง เพราะรสชาติเบียร์จะกระตุ้นให้สมองปล่อย “โดปามีน” สารเคมีที่ทำให้รู้สึกเป็นสุขออกมา และส่วนประกอบในเบียร์ สามารถกระตุ้น DOPAMINE D2 RECEPTOR (D2R) ในสมองส่วน REWARD CENTER ทำให้เรารู้สึกดี มีความสุขได้นั่นเอง ทีมนักวิจัยจาก FRIEDRICH ALEXANDER UNIVERSITAT ERLANGEN-NURNBERG (FAU) ได้ทำการทดลองเพื่อหาองค์ประกอบในอาหารว่าอะไรจะสามารถกระตุ้น DOPAMINE RECEPTOR ได้เหมือนสารโดปามีนอีกหรือไม่ โดยแยกเก็บตัวอย่างโมเลกุลที่มักจะมีอยู่ในอาหารมากถึง 13,000 โมเลกุล ทดสอบด้วยการใช้ VIRTUAL SCREENING PROGRAM วิเคราะห์ไปทีละอย่าง เพื่อหาว่าเรากินอะไรช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ ก่อนจะพบโมเลกุลที่เข้ารอบ 17 ตัว และหนึ่งในนั้นก็คือ”#เบียร์” . 🧠🧬 HORDENINE สารฮอร์ดีนีน (Hordenine) ทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกันกับสารโดปามีนที่ทำให้เรามีความสุข ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของตัวรับสัญญาณโดปามีน (Dopamine D2 receptor 4kp)ในระบบประสาท ทำหน้าที่สร้างความสุขให้กับร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายของเรารู้สึกดี รู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข ซึ่งร่างกายจะหลั่งสารออกมาในเวลาเราได้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่เราชอบ เช่น การฟังเพลง การกินข้าว การไปท่องเที่ยวหรือการดื่มเบียร์ แต่ที่ดีไปกว่านั้นคือสาร Hordenine ที่พบในเบียร์นั้นจะกระตุ้นสมองและทำให้คนเรามีความสุขได้ยาวนานมากกว่าสารโดปามีน งานวิจัยจาก Friedrich-Alexander-Universität Erlangen-Nürnberg ประเทศเยอรมนี ที่ศึกษาและวิเคราะห์สารประกอบในอาหารกว่า 13,000 ชนิด พบว่าในเบียร์ และข้าวบาร์เลย์งอกนั้นมีสารที่ชื่อว่า “Hordenine” หนึ่งในโมเลกุลที่ทำหน้าที่ไปกระตุ้นสมองในส่วน Reward Center โดย Hordenine จะส่งสัญญาณผ่าน G-Proteins แล้วทำให้คนเรามีความสุข ความพึงพอใจเพิ่มขึ้นได้จริงตามหลักทางวิทยาศาสตร์ . 🧠🧬POLYPHENOLS โพลีฟีนอล (Polyphenols) คือ กลุ่มของสารที่ให้สี และจะพบในพืชผักผลไม้ทั่วไป มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โพลีฟีนอลพบได้ตามธรรมชาติในผัก ผลไม้ ใบชา ไวน์ ดาร์กช็อกโกแลต และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โพลีฟีนอยด์ในเบียร์ส่วนมากจะมาจากดอกฮอป (HOBS) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของการทำเบียร์ ซึ่งสารตัวนี้จะช่วยทำให้สมองโล่งและทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลินได้ดี ส่งผลให้ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความทรงจำดี ไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์ แต่ถ้าดื่มในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะทำให้ง่วงและขาดสติไปได้เลยเช่นกัน จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Montreal พบว่าผู้ที่ดื่มเบียร์จะช่วยลดความเครียดและโรควิตกกังวลได้ และยังทำให้นอนหลับสบายขึ้น เพราะสารโพลีฟีนอยด์จากดอก HOBS ทำหน้าที่เหมือนกับยานอนหลับจากธรรมชาติ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หากได้ดื่มเบียร์ตอนมื้อเย็น จะทำให้รู้สึกนอนหลับได้ลึกขึ้นและหลับง่ายขึ้น มากกว่าผู้ที่เป็นคนหลับยากแล้วไม่ได้ดื่มเบียร์เลย . . ทั้งนี้ การทำงานของสมองที่ช้าลงมีความสัมพันธ์กับปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มีในร่างกาย ถ้ามีน้อย เราอาจจะแค่รู้สึกมึนๆ แต่ถ้าปริมาณแอลกอฮอล์มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับที่ร่างกายต้านไม่ไหว สมองก็จะเข้าสู่ภาวะ Black out ⛔ ภาพตัดจนจำอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การดื่มเบียร์ในปริมาณที่พอเหมาะต่อวันจะทำให้เราได้รับประโยชน์และทำให้ร่างกายหลั่งสารความสุขได้อย่างพอดี แต่หากดื่มมากจนเกินไปก็จะส่งผลเสียและเป็นอันตรายอย่างมากต่อร่างกาย ถึงแม้ว่าการดื่มเบียร์จะทำให้คนเราแฮปปี้แค่ไหน แต่ก็ต้องมีลิมิตในการดื่มเช่นกัน วันไหนที่รู้สึกว่าชีวิตมันเศร้า อารมณ์หดหู่ ก็ลองจัดเบียร์ไปสักกระป๋อง แล้วสั่งให้ DOPAMINE RECEPTOR มันทำงานโดยด่วนเลย ! 🍺🧠 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #BEER #เบียร์ #ความสุขกับเบียร์ #DOPAMINE ขอบคุณข้อมูลจาก : https://bit.ly/2YeWJPX https://mgronline.com/science/detail/9560000046323 https://beerzpot.com/2020/07/23 https://www.sciencedaily.com/releas

รู้จักกับเทคโนโลยี ‘รถพลังงานไฮโดรเจน’ 🚗🚖 เมื่อโลกไม่ได้มีแต่ EV⚡Hydrogen อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกพลังงานยานยนต์แห่งอนาคต ? _______________ ในวันที่เทรนด์ทิศทางโลกกำลังมุ่งหน้าสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมัน แต่ในขณะเดียวกัน อีกหนึ่งพลังงานทางเลือกที่น่าจับตามองก็คือ ‘#ไฮโดรเจน’ ทุกวันนี้รถยนต์ที่โลดแล่นอยู่บนท้องถนนนั้นมีอยู่หลากหลายประเภทมาก ๆ ทั้งรถยนต์สันดาปที่ขับเคลื่อนโดยน้ำมัน, แก๊ส และที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้เลยก็คือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถ EV แต่นอกจากรถ EV ที่เรารู้จักกันนั้น ในปัจจุบันก็ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์เพื่อสิ่งแวดล้อมออกมาให้เราได้เห็นกัน อย่างรถพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งใครหลายๆคนก็แทบจะไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ... . วันนี้ STeP จึงอยากมานำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ของ “รถพลังงานไฮโดรเจน” 🚙 ที่กำลังเป็นที่น่าจับตามอง พอๆกับรถยนต์ไฟฟ้า มาดูกันว่ามีความน่าสนใจอย่างไร? จะเหมือนหรือแตกต่างจากรถไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน? รถเหล่านี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริงๆหรือเปล่า? ... 👇👇 . . 🔌 รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric vehicles (EVs) คือ ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้าแทนการใช้เครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้แบบสันดาป โดยรถยนต์ EV จะใช้พลังจากไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมันหรือพลังงานอื่นๆ โดยระบบรถไฟฟ้าจะเก็บพลังงานเอาไว้ในแบตเตอรี่ที่สามารถชาร์จได้ และแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่มาใช้ในการขับเคลื่อนรถ อนึ่งรถยนต์ EV ไม่ต้องมีกลไกลอะไรที่มากเหมือนขับเคลื่อนอย่างเช่นรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ซึ่งต้องใช้การจุดระเบิดเผาไหม้ในการขับเคลื่อน ทำให้เครื่องยนต์ของรถยนต์ไฟฟ้าค่อนข้างเงียบ และไม่มีไอเสียจากการเผาผลาญพลังงาน รถไฟฟ้าเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แบตเตอรี่ที่กักเก็บไว้ในตัวรถเพื่อนำไปป้อนให้กับมอเตอร์ เมื่อขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ดึงกระแสไฟจากแบตเตอรี่หรือแหล่งไฟฟ้าแบบพกพาอื่น ๆ แล้ว ก็จะไม่เกิดปฏิกิริยาเคมีใด ๆ ซึ่งจะไม่ปล่อยไอเสียที่เป็นมลพิษต่อโลก พูดง่ายๆก็คือ รถยนต์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนนั่นเอง 🚙⚡ . 💧 รถพลังงานไฮโดรเจน หรือ Full Cell Electric Vehicles (FCEVs) รถพลังงานไฮโดรเจน หรือ รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell electric vehicles – FCEVs) คือ รถที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงเปลี่ยนแก๊สไฮโดรเจนเป็นพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงนั้นเป็นการใช้ไฮโดรจนผสมกับออกซิเจนเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า เป็นนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen vehicle) เป็นการใช้พลังงานจากธาตุไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงหลัก ไฮโดรเจนเป็นหนึ่งในสองธาตุที่ประกอบกันขึ้นเป็นน้ำ ไฮโดรเจนไม่ใช่แหล่งพลังงานด้วยตัวของมันเอง แต่เป็นตัวนำพลังงาน เนื่องจากมันต้องการพลังงานจำนวนมากในการแตกตัวออกมาจากน้ำ หลักการทำงานของรถไฮโดรเจนจะทำงานผ่านเซลล์เชื้อเพลิงที่มีการเติมไฮโดรเจนเข้าไป โดยไฮโดรเจนนี้ก็จะถูกเปลี่ยนมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ และจะปล่อยของเสียออกมาเป็นเพียงเฉพาะไอน้ำเท่านั้น อีกทั้งการเติมเชื้อเพลิงในแต่ละครั้งก็ยังใช้เวลาเพียง 3-5 นาที ซึ่งถือว่าค่อนข้างไวเมื่อเทียบกับการเติมน้ำมันรถยนต์ ถือเป็นเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย 🚙💧 . ข้อดีของรถพลังงานไฮโดรเจน 🤡 เทคโนโลยีรถไฮโดรเจนคืออีกขีดขั้นของการพัฒนารถยนต์ ที่จริงมันเป็นขั้นที่สูงกว่ารถยนต์พลังไฟฟ้า การเป็นพลังงานสะอาดประสิทธิภาพสูง มีคุณสมบัติในการจ่ายพลังงานมากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น เมื่อเทียบกับน้ำมันเบนซิน มีประสิทธิภาพสูงกว่าถึง 2.8 เท่า และสูงกว่าดีเซลถึง 4.5 เท่า อีกทั้งเมื่อเกิดการเผาไหม้จะเกิดเพียงการปล่อยเป็นไอน้ำออกมาแทนควันเสีย ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศขณะขับเคลื่อนรถ . ข้อเสียรถพลังงานไฮโดรเจน 😈 แน่นอนว่าคงไม่มีอะไรดีได้100% เพราะราคาอาจจะค่อนข้างสูง เพราะการผลิตนั้นมีต้นทุนที่สูงมาก เนื่องจากยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ ยังไม่แพร่หลายมากนัก จึงทำให้ความต้องการและต้นทุนในการผลิตยังมีน้อย จึงต้องยอมแลกกับราคาที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งสถานที่ในการเติมเชื้อเพลิงมีเพียงแค่บางแห่งเท่านั้น อาจยังอยู่ในขั้นทดลองจึงหาจุดเติมไฮโดรเจนได้ยาก . . รถยนต์ไฟฟ้า⚡รถพลังงานไฮโดรเจน แบบไหนจะดีกว่ากัน? ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารถยนต์ทั้งสองประเภทนี้จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการไม่ปล่อยควันและมลพิษออกมา เป็นการพัฒนานวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่การที่จะเลือกรถยนต์สักรุ่นในสองประเภทนี้นั้น ก็จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆด้าน คือ 👇 💸 ความคุ้มค่า ถ้าในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีของรถยนต์ไฮโดรเจนแพร่หลายมากขึ้น มีผู้ผลิตพลังงานหลายเจ้ามากขึ้น ราคาเชื้อเพลิงพลังงานไฮโดรเจนก็จะถูกลงเรื่อย ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดพลังงานหมุนเวียนของทรัพยากรและถูกใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างคุ้มค่า ⛽ สถานที่สำหรับเติมเชื้อเพลิง หากจะมองกันในประเทศไทยว่ามีความพร้อมสำหรับรถยนต์ทั้งสองแบบนั้นหรือไม่? ก็ถือว่ามีความพร้อมในระดับหนึ่ง แต่สถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนนั้น ปัจจุบันยังมีเพียงแค่แห่งเดียวคือ ปั๊ม ปตท.จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นต้นแบบสถานีเติมเชื้อเพลิงในอนาคต จึงต้องมองดูระยะยาวก่อนว่าในอนาคต จะมีเพิ่มมากขึ้นมากน้อยแค่ไหน ⌚ เวลาที่ใช้ในการเติมเชื้อเพลิง แน่นอนว่ามีระยะเวลาในการเติมเชื้อเพลิงที่แตกต่างกัน โดยรถ EV จะมีระยะเวลาในการเติมเชื้อเพลิงหรือการชาร์จอยู่ที่ประมาณ 45-60 นาที โดยประมาณ แต่ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับเรื่องของกำลังไฟในการชาร์จด้วย ส่วนการเติมเชื้อเพลิงของรถไฮโดรเจนนั้นก็จะใช้เวลาในการเติมเพียง 3-5 นาที หรือ 5-10 นาที โดยประมาณ ก็จะสามารถใช้งานต่อได้แล้ว 👩🔧 ค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่าย รถยนต์ทั้งสองประเภทนั้นจะมีค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยรถพลังงานไฮโดรเจนยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก จึงอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่ารถไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันทั่วไป 🧭 ระยะทาง สำหรับระยะทางในการใช้งานจะขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น ซึ่งในรุ่นที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาอย่างดี ก็จะทำให้วิ่งได้ไกลกว่า โดยส่วนใหญ่รถ EV จะมีระยะการขับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400-500 กิโลเมตร และรถพลังงานไฮโดรเจนระยะการขับโดยเฉลี่ยประมาณ 500-600 กิโลเมตร ซึ่งจะไม่ได้ต่างกันมากแต่จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์แต่ละประเภท . . รถพลังงานไฮโดรเจน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริงหรือ? 🌳🍃 คณะกรรมการระหว่างรัฐ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ชี้ให้เห็นว่า Co2 ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศในปี 2010 นั้น จำนวน 14% เกิดขึ้นจากยานพาหนะขนส่งที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ปัจจุบัน 72% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดขึ้นจากรถยนต์สันดาปภายใน (ตามด้วยเครื่องบินโดยสาร คิดสัดส่วนที่ 10-15%) ดูเหมือนว่านวัตกรรมยานยนต์ไฮโดรเจน น่าจะเป็นทางออกที่ดีในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นยานยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่สะอาดมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าเสียอีก เพราะการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสีเขียวที่ได้มาจากการสังเคราะห์พลังงานแสงอาทิตย์และน้ำ จะมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ 🌞 แต่วัฏจักรการผลิตรถยนต์นั้นเริ่มต้นจากการสกัดแร่ต่างๆ รวมทั้งการขนส่งและผลิตวัตถุดิบเป็นส่วนประกอบหลายๆ ชิ้นส่วน ที่จะนำมาประกอบเป็นรถยนต์ เมื่อสิ้นสุดกระบวนการผลิต กลับกลายเป็นอุตสาหกรรมการผลิตหรือโรงงานผลิตเองที่สร้างการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาล ตามรายงานของนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ จึงเป็นคำตอบได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้าหรือนวัตกรรมการผลิตต่างๆนั้น ไม่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 100% 🏭🚨 เพียงแต่ช่วยลดปริมาณในการเผาไหม้ที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนขณะขับเคลื่อนมากกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป . . อย่างไรก็ตามนวัตกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของรถยนต์ทั้งสองประเภทนี้ต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป แต่เพื่อที่จะอนุรักษ์และเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกให้ดีขึ้นได้ ก็ย่อมต้องพัฒนาสร้างทางเลือกใหม่ๆอยู่เสมอ ลองจินตนาการดูว่า ในอนาคตถ้าเราสามารถสูดหายใจได้อย่างเต็มปอดแบบไร้มลพิษและฝุ่นควัน จะดีขนาดไหนกัน? ... “คนรักรถ จะรักษ์โลกด้วยก็ได้นะ” 💚🌍 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #รถพลังงานไฮโดรเจน #รถยนต์ไฟฟ้า #EV #เทคโนโลยียานยนต์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://thestandard.co/japan-and-ev-market/ https://www.posttoday.com/innovation/1536 https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2474550 https://www.punpro.com/p/fuel-cell-electric-vehicles


มาด้วยกันแต่ทำไมเราโดน ‘ยุงกัด’ อยู่คนเดียว ? 🦟😈 _______________ เข้าสู่ฤดูฝนกันแล้ว สิ่งที่มากับฝนก็คือ ‘ยุง’ หลายๆคนคงเคยสัยสัยกันอยู่บ้าง ว่าทำไมคนบางคนชอบถูกยุงกัดมากกว่าคนอื่น.. เคยไหม? ที่เวลาเราออกไปไหนกับกลุ่มเพื่อนหรือใครก็ตาม ทำไมเรามักจะโดนยุงกัดอยู่คนเดียว ทั้งๆที่นั่งอยู่ด้วยกันหลายคน แต่กลับโดนกัดอยู่คนเดียว? หรือเราเป็นแค่คนเดียวที่ดึงดูด #ยุง กันนะ! ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วอะไรที่ทำให้ยุงกัดเราอยู่คนเดียวแบบนี้ ? หรือจริงๆแล้วยุงชอบกัดคนประเภทไหน มีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้ยุงกัดเราน้อยที่สุด เพราะที่จริงแล้วยุง “ไม่ได้กัดใครก็ได้” แต่ยุง “เลือกที่จะกัด” มากกว่า STeP จะพามาไขข้อสงสัยกัน 👇👇 . . รู้กันรึปล่าวว่า ‘ยุง’ 🦟มีต้นเกิดเนิดมาจากไหน ? ยุง (Mosquitoes) เป็นสัตว์ที่มีปริมาณมากที่สุดในโลก เป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกแต่มักจะพบเจอได้มากที่สุดในเขตร้อนและเขตอบอุ่น จากหลักฐานทางฟอสซิลซากดึกดำบรรพ์สันนิษฐานได้ว่า ยุงถือกำเนิดขึ้นในโลกตั้งแต่ปลายยุค Paleozonic ซึ่งเป็นยุคดึกดำบรรพ์เมื่อประมาณ 200 ล้านปีมาแล้ว ในโลกของเรานั้นมียุงมากกว่า 3,000 ชนิด ส่วนในประเทศไทยถูกพบว่ามียุงอย่างน้อย 412 ชนิด และที่เรารู้จักกันดีก็คือ ยุงลาย นั่นเอง . ทำไมยุงต้องดูดเลือด ? 😈 จะมีแค่เฉพาะ ยุงเพศเมียเท่านั้นที่ดูดเลือดกินเป็นอาหาร เนื่องจากยุงเพศเมียจะต้องอาศัยโปรตีนและธาตุเหล็กที่อยู่ในเลือดเพื่อสร้างไข่ไว้ขยายพันธุ์ ซึ่งในยุงตัวเมียนั้นจะมีพัฒนาเซนเซอร์ทางเคมี (Chemical Sensors) ที่เป็นเหมือนเครื่องมือตรวจจับคาร์บอนไดออกไซด์และกรด Lactic ได้จากระยะไกลถึง 100 ฟุต และเมื่อจับสัญญานได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ใกล้เคียง ก็จะอาศัยจมูกนำทางไปยังเหยื่อทันที ในขณะที่ยุงกำลังดูดเลือดนั้นจะปล่อยโปรตีนชนิดหนึ่งออกมาซึ่งมีผลกับการแข็งตัวของเลือดและทำให้เรารู้สึกคัน . . แล้วทำไมยุงถึงเลือกกัดแค่เฉพาะบางคน ? 🤔 👃ยุงชอบกลิ่นที่ผิวหนัง การผลิตกรดคาร์บอกซิลิก (carboxylic acid) 🧬 ในร่างกายมนุษย์ที่ไม่เท่ากัน ซึ่งกรดคาร์บอกซิลิกจะถูกผลิตขึ้นผ่านทางซีบัม (sebum) หรือต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้ผิวของเราชุ่มชื้นและช่วยป้องกันอันตรายจากสิ่งต่างๆ เช่น รังสียูวี แบคทีเรีย และเชื้อรา โดยจมูกของยุงจะมีปฏิกิริยากับกลิ่นทางเคมีของคน และใครบางคนที่ถูกยุงกัดบ่อยกว่าคนอื่นก็เพราะ ‘ยุงชอบกลิ่นทางเคมีที่ผิวหนังนั่นเอง’ จากการศึกษาของนักประสาทชีววิทยา เลสลี วอสส์ฮอลล์ แห่งมหาวิทยาลัยรอคกีเฟลเลอร์ พบว่า ผู้ที่มีกรดคาร์บอกซิลิกในระดับที่สูงกว่าผู้อื่นนั้น จะดึงดูดยุงให้ไปกัดพวกเขาได้มากกว่าคนอื่น สารเคมีที่ร่ายกายผลิตออกมามีส่วนดึงดูดยุงเป็นอย่างมาก ในการวิจัย ได้ทดลองนำกลิ่นกายที่ต้นแขนของกลุ่มตัวอย่าง 64 คน ผลการวิจัยพบว่า ยุงจะตามกลิ่นของบางคนมากเป็นพิเศษ ซึ่งพบว่า ร่างกายของคนเหล่านี้ ผลิตกรดคาร์บอกซิลิกในปริมาณที่สูงออกมาทางผิวหนัง ที่แม้แต่ยุงกลายพันธุ์ที่ไม่มีตัวรับกลิ่นของกรดคาร์บอกซิลิกก็ยังชื่นชอบผู้ที่มีกรดชนิดนี้อยู่บนผิวหนัง . 🩸 กรุ๊ปเลือดที่ยุงโปรดปราน จากการศึกษาและทดลองของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (NIH) ได้เจาะลึกถึงความชอบของยุงและตั้งข้อสงสัยว่ายุงลายจะบินไปหาคนเลือดกรุ๊ปอะไรมากที่สุด? สิ่งที่พบก็คือ “คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ (O)” 🩸🧬 สามารถดึงดูดยุงให้บินเข้าไปหาได้มากที่สุด สาเหตุที่ทำให้คนเลือดกรุ๊ปโอมีโอกาสจะโดนยุงกัดมากกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นๆนั้น ตามหลักการวิทยาศาสตร์แล้วกรุ๊ปเลือดเกิดจากโปรตีน (Antigen) บนเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แตกต่างกันไป แต่คนเลือดกรุ๊ปโอจะมีโปรตีนชนิดหนึ่งมากกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นๆ ซึ่งยุงก็สามารถตรวจจับได้ จึงทำให้คนเลือดกรุ๊ปโอเป็นที่โปรดปรานของยุง . 😰 เหงื่อ Dr. Baumann-Blackmore นักกีฏวิทยาการแพทย์อธิบายว่า “เหงื่อ” 💦 ก็ดึงดูดยุงได้เหมือนกัน เพราะเหงื่อที่ถูกขับออกมาทางผิวหนังของคนเราจะมีกลิ่นของกรดแลคติก กรดยูริก แอมโมเนีย และสารอื่น ๆ ซึ่งกลิ่นของสารเคมีเหล่านี้เมื่อถูกขับออกมาแล้วจะกระตุ้นให้ยุงได้กลิ่นชัดยิ่งขึ้นและบินเข้ามากัดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งความร้อนที่คายออกมาพร้อมกับเหงื่อต่างก็ส่งผลให้ยุงเข้าหาได้ง่ายกว่าคนอื่นอีกด้วย . 🥵 อุณหภูมิอุ่นๆ สาเหตุพื้นฐานที่ยุงชอบกัดเราส่วนหนึ่งก็มาจากการหายใจของมนุษย์ เมื่อเราหายใจออก ร่างกายก็จะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ออกมาและทำให้อุณหภูมิร่างกายอุ่นขึ้น🔥 และเมื่อเกิดความร้อนขึ้นภายในร่างกายเรา ยุงก็จะสามารถตรวจจับกลิ่นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้จากระยะไกลถึง 5 เมตร อีกทั้งยังมีระบบตรวจจับอุณหภูมิที่เข้มข้นมากอีก จึงทำให้ยุงสามารถรับรู้ได้ไวและบินเข้ามาหาเราเป็นอันดับแรก ‘ยิ่งอุณหภูมิร่างกายสูงก็จะยิ่งเป็นเป้าหมายได้ง่ายขึ้น’ เพราะยุงจะอยู่ในที่อุณหภูมิสูงได้ดีกว่าอุณหภูมิต่ำนั่นเอง . 🍻 เบียร์ ? นักวิจัยชาวญี่ปุ่นระบุว่า เบียร์ขนาดแค่ 12 ออนซ์เพียงขวดเดียว 🍺 ก็สามารถดึงดูดยุงได้มากเช่นกัน เพราะปริมาณเอทานอล (ปริมาณของแอลกอฮอล์) ที่ขับออกทางเหงื่อนั้น จะทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นก็จะดึงดูดยุงเข้ามานั่นเอง Grayson Brown ผู้เชี่ยวชาญด้านยุง ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากฟองเบียร์ ตอนที่เราเปิดเบียร์ ผลการวิจัยระบุว่า ยุงจะใช้คาร์บอนไดออกไซด์เป็นสัญญาณในการตรวจจับและเข้าหามนุษย์ เบียร์จึงเป็นตัวดึงดูดยุงได้ดีอีกเช่นกัน . 👔 สียิ่งเข้ม ยุงยิ่งเห็น James Day นักกีฏวิทยาการแพทย์ แห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดา พบว่า ยุงใช้การมองเห็น (พร้อมกับการดมกลิ่น) เพื่อค้นหาอาหาร หลังจากที่ยุงเจอ “กลิ่น” แล้วนั้น มันจะเริ่มสนใจต่อภาพที่มองเห็นร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ #โทนสีเข้ม ⚫ เช่น สีดำ สีน้ำเงิน และสีแดง ยุงจะสามารถมองเห็นได้ชัดกว่าสีอื่นๆ เพราะยุงแยกแยะสีจากความยาวของคลื่นแสง ทำให้สามารถแยกสีโทนเข้มได้อย่างชัดเจน โดยการทดลองพบว่า ยุงจะไปกัดคนที่ใส่เสื้อสีดำมากกว่าคนใส่เสื้อขาวถึง 10 เท่า . . อย่างไรก็ตาม แม้ยุงจะเป็นสัตว์ขนาดเล็กแต่ก็ร้ายไม่ใช่เล่น! 😈 และทุกคนต่างก็มีโอกาสที่จะโดนยุงกัดได้เสมอ อย่าชะล่าใจ มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือไกลตัว ควรระวังและป้องกันตัวไม่ให้ถูกยุงกัดจะดีที่สุด 💯 เพราะนอกจากจะทำให้เรามีแผลแสบๆคันๆไปหลายวันแล้วก็ยังเป็นสาเหตุของโรคติดต่อมากมายที่อันตรายถึงชีวิตได้อีกด้วย... #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #ยุง #ยุงกัด #ทำไมยุงชอบกัด ขอบคุณที่มา : https://www.scimath.org/article-science/item/6726-2017-03-17-03-57-55 https://www.cheminpestcontrol.com/products/product-38 http://61.7.231.171/epidem/knowlage/mosq.pdf https://www.catonvacations.com/article
พรุ่งนี้ ‘วันจันทร์’ อีกแล้วเหรอ?! 🥱🥴⏰ ทำไมใครๆ ถึงไม่ชอบวันจันทร์ ? _______________ “พรุ่งนี้วันจันทร์” ประโยคที่ใครหลายๆคน แค่ได้ยินก็ไม่ชอบแล้ว 🥶 เพราะมันอาจมาพร้อมกับความรู้สึกที่เบื่อหน่าย งานกองโตและเวลาพักผ่อนก็ผ่านไปไวซะจนเหมือนยังไม่ได้พัก ทำให้เอาแต่นับวันรอว่าเมื่อไรจะถึงวันหยุดเสียที.... เชื่อว่าใครหลายๆคนคงจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ และคงจะไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ทุกๆเช้าวันจันทร์ เต็มไปด้วยอารมณ์และความคิดเชิงลบเพราะหากเราเริ่มต้นด้วยความเบื่อหน่ายและหมดไฟตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ก็จะส่งผลให้ทั้งสัปดาห์ของเราเป็นแบบนั้นตามไปด้วย STeP จะพามาไขข้อข้องใจกับอาการ ‘เกลียดวันจันทร์’ 🥴 ซึ่งมีหลักวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาอยู่เบื้องหลัง! หากเมื่อเราได้ทำความเข้าใจอาการเกลียดวันจันทร์แล้ว เราอาจจะรักวันจันทร์มากขึ้นก็ได้ เพราะถ้าหากเริ่มต้นวันใหม่ได้ดี ก็มีแนวโน้มว่าจะดีไปทั้งสัปดาห์ มาลองเปลี่ยนสิ่งเล็กๆ เพื่อเปลี่ยน “วันจันทร์ที่น่าเบื่อ” ให้กลายเป็น “วันสุข” กัน . . ‘Monday Blues’ คืออะไร ? 🧐 Monday Blues หรือ โรคเกลียดวันจันทร์ เป็นอาการที่เกิดจากความเครียดหรือความกดดันในที่ทำงาน ซึ่งมักจะก่อให้เกิดความรู้สึกเชิงลบและลามไปเรื่องอื่นๆ เป็นความรู้สึกที่เหนื่อยล้า เบื่อหน่าย และเมื่อรู้สึกกดดันมากขึ้นก็จะกลายเป็นความไม่ชอบจนอาจจะเกลียดไปในที่สุด นอกจากนี้ โรคเกลียดวันจันทร์ อาจจะเกิดจากการที่เรามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า เจ้านาย หรือลูกน้อง ทำให้เราเกิดความรู้สึกเชิงลบและทำให้ไม่อยากมาทำงาน โดยเฉพาะ #วันจันทร์ ซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์ หลังจากวันหยุดที่เราได้ปรนเปรอตัวเองอย่างเต็มที่ ก็เลยรู้สึกแย่เป็นพิเศษที่ต้องกลับมาทำงานอีกครั้ง . อาการเกลียดวันจันทร์ มีจริงไหม? 😯 การศึกษาจาก Lehigh University’s College of Business สหรัฐอเมริกา ในปี 2021 ระบุว่าอาการ ‘เกลียดวันจันทร์มีอยู่จริง!’ และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศ ทุกวัย อาการเกลียดวันจันทร์ หรือ Monday Blues นั้นเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ยาวไปจนถึงเช้าวันจันทร์ เป็นหนึ่งในเรื่องที่นักเรียน นักศึกษา และวัยทำงาน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศจะต้องเคยเจอและกำลังเผชิญอยู่ มีผลการวิจัยพบว่า บรรดาพนักงานที่ต้องมาทำงานในเช้าวันจันทร์นั้นมีอัตราความดันโลหิตสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการเป็นโรคเครียดวิตกกังวลมากขึ้น ในขณะที่คนว่างงานหรือคนทำงานฟรีแลนซ์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตในเช้าวันจันทร์ บทความของ CNBC ได้กล่าวไว้ว่า พนักงานจะรู้สึกไม่มีความสุขมากที่สุดในเวลา 11:17 นาทีของเช้าวันจันทร์ กลับกันพวกเขาจะรู้สึกแฮปปี้ที่สุดในเวลา 15:47 ของวันศุกร์ ดังนั้นอาการเกลียดวันจันทร์จึงสามารถอธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ได้ . ทำไมต้องเป็น ‘วันจันทร์’ ? 🤔 🔥 หมดไฟ งานวิจัยจาก American Journal of Epidemiology อธิบายว่า เพราะวันจันทร์เป็นวันที่ทุกคนรู้สึกอ่อนแรงที่สุดในสัปดาห์ แม้จะเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ได้ชาร์จพลังและพักผ่อน เผลอแป๊บเดียวก็ต้องกลับมาสู่วงจรชีวิตปกติ จึงจะต้องใช้ความอดทนมากกว่าวันอื่นๆ เพราะการทำงาน 5 วันรวดจะทำให้ Productivity หรือผลผลิตประสิทธิภาพในการทำงาน หดหาย ลดลง และยังพบว่า คนที่ทำงาน 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีการตระหนักรู้ถดถอยลง เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานเพียง 40 ชั่วโมง และการทำงานต่อเนื่องส่งผลให้เกิดการหมดไฟเร็วกว่าเวลาอันควร . 😴 จังหวะของร่างกายที่เปลี่ยนไป สิ่งที่แตกต่างกันของวันทำงานและวันหยุดสำหรับคนทำงานคือ จังหวะชีวิต เพราะคนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะมีปุ่มเปลี่ยนโหมดได้อย่างไหลลื่น Meg Gitlin นักจิตบำบัดมองว่า คนมักจะคิดว่าวันหยุดคือวันฟื้นฟูกายและใจและโหมกิจกรรมทุกอย่างมากเท่าที่จะมากได้จนพลังงานหมด วันจันทร์ที่มาถึงจึงกลายเป็นเหมือนฝันร้าย Sanam Hafeez นักประสาทจิตวิทยาระบุว่า แม้การหลับชดเชยในวันหยุดจะเป็นเรื่องดี แต่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนอนทุกๆ 5 วัน จะไปรบกวนนาฬิกาชีววิทยาที่ควบคุมการนอนและตื่นของแต่ละคน . 🥲 อิสระที่กำลังหลุดมือ Becky Stuempfig นักจิตวิทยา อธิบายว่า ธรรมชาติของมนุษย์รักการเป็นอิสระ พอมีวันจันทร์ขึ้นมาหลังจากวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ใช้ชีวิตอย่างตามใจตัวเองสุดเหวี่ยง ก็เลยรู้สึกสูญเสียอิสระไป ทำให้มนุษย์เรารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน ทำให้เกิด Emotional Shift จากวันหยุดที่รื่นรมย์ก็ต้องเปลี่ยนเป็นวันทำงานที่เคร่งเครียด สมองของเราปรับตามไม่ทัน จึงเกิดอาการเกลียดวันจันทร์ขึ้นมา . 😔 รู้สึกแย่กับตัวเอง ในช่วงวันหยุดพวกเรามักเปย์ตัวเองอย่างหนัก กินบุฟเฟ่ต์ล้างผลาญ ท่องเที่ยวและดื่มหนักมากกว่าปกติ ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อร่างกาย มีงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงทุกอายุและทุกเชื้อชาติ รู้สึกตัวเองดึงดูดน้อยลงในวันจันทร์ ร่างกายเรารับมือหนักจากพฤติกรรม พอเรารู้สึกแย่การโทษวันจันทร์ไปเลย ทำให้คุณสบายใจกว่า นักวิทยาศาสตร์พบว่าผู้คนมักน้ำหนักขึ้นและความดันสูงในช่วงต้นสัปดาห์และสถิติการตายด้วยโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองแตกมักสูงที่สุดในวันจันทร์เช่นกัน . . ดังนั้น เคล็ดลับที่จะทำให้เราเกลียดวันจันทร์ให้น้อยลงก็คือ‘การหลอกสมอง’ 🧠💆 -เริ่มต้นวันด้วยการทานอาหารที่อยากทาน มื้อเช้าที่ดีก็จะทำให้อารมณ์ดีได้ทั้งวัน 🥪 -เข้านอนไว ในคืนวันอาทิตย์ นอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ 😴 -ลองเปลี่ยนการแต่งกายหรือการแต่งหน้าในลุคใหม่ๆ 💋💄 -ลิสต์สิ่งที่ต้องทำไว้ล่วงหน้า เพื่อลดภาระในเวลาทำงาน ✍️🗓 -เข้าใจและยอมรับว่า วันจันทร์ก็เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่ง 🫶 -วางแผนสนุกๆ ให้มีกิจกรรมที่เราอยากทำในวันจันทร์ 🎳♟ -ช่วยเหลือผู้อื่นหรือทำสิ่งดีดีในตอนเช้า จะทำให้เรามีความสุขเมื่อได้รับรอยยิ้มกลับมา 🥰 . . เราอาจเคยชินกับความรู้สึกเบื่อและเกลียดวันจันทร์กันมาตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ เพียงแค่ปรับมุมมอง หาแนวทางที่ใช่ และแก้ปัญหาให้เหมาะสม อาจทำให้เราได้พักผ่อนเต็มที่ในวันหยุด และไม่ต้องรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อวันจันทร์กำลังจะมาถึง... 😉🤗 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #วันจันทร์ #พรุ่งนี้วันจันทร์ #Mondaublues ขอบคุณที่มาจาก : www.telegraph.co.uk/news/newstopics/howaboutthat/8658968/Monday-mornings-so-depressing-you-wont-crack-a-smile-until-11.16am.html www.nytimes.com/2012/10/14/opinion/sunday/blue-mondays-arent-really-blue-so-why-do-we-think-they-are.html?_r=1 www.nydailynews.com/news/national/70-u-s-workers-hate-job-poll-article-1.1381297

เรื่อง ‘ตับตับ’ อวัยวะสำคัญ ที่ถูกลืม 🤐 💢 _______________ พูดถึง “ตับ” หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเพียงแค่อวัยวะภายในร่างกายหนึ่งชิ้นเท่านั้น ไม่ได้สำคัญเท่ากับดวงตาหรือหัวใจเลยถูกมองข้ามไปด้วย บางคนอาจเคยได้ยินว่า ถ้าดื่มเหล้าเยอะจะทำให้ตับแข็ง แต่รู้หรือไม่ว่า ต่อให้เราไม่เที่ยวไม่ดื่มเลยก็ตาม เราก็สามารถเกิดโรคตับได้เช่นกัน ! แน่นอนว่าต่อให้เราพยายามดูแลตัวเองมากแค่ไหน เราก็อาจจะเผลอทำลาย ‘ตับ’ แบบไม่รู้ตัว... วันนี้ STeP จะชวนมาย้อนถึงความสำคัญของตับ มาดูกันว่า ถ้าเราไม่ดื่มเหล้า อะไรที่จะทำให้เราเสียงอีกบ้าง👇 . . #ตับ หัวใจดวงที่สองของร่างกาย 🫀 ‘ตับ’ อวัยวะชิ้นสำคัญและเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญมากมายเปรียบได้เหมือนศูนย์กลางการทำงานในร่างกาย เพราะเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้เก็บ และผู้เปลี่ยน ให้กับร่างกายเรา 👉ผู้ผลิต : ตับสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างน้ำดีที่เผาผลาญ สลายไขมัน รวมถึงผลิตฮอร์โมนและสร้างภูมิคุ้มกัน 👉ผู้เก็บ : ตับเป็นแหล่งกักเก็บไกลโครเจน เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน รวมถึงวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย 👉ผู้เปลี่ยน : ตับจะเปลี่ยนแปลงอาหารและยา ให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ และช่วยล้างสารพิษ กรองสารพิษในเลือดและขับของเสียออกจากร่างกาย . #มหัศจรรย์ของ ‘ตับ’ 👼✨ งานวิจัยจากทีมนักชีววิทยาระดับโมเลกุล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเดรสเดนของเยอรมนี ได้ใช้วิธีตรวจวัดอายุกำเนิดของเซลล์ตับด้วยคาร์บอน-14 หรือคาร์บอนกัมมันตรังสี พบว่าเซลล์ตับส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นมีอายุอ่อนเยาว์ไม่เกิน 3 ปีเสมอ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีอายุมากน้อยเพียงใดแล้วก็ตาม จากการทดลองกับตัวอย่างเนื้อเยื่อที่ได้จากผู้บริจาคกว่า 50 ราย ซึ่งมีอายุระหว่าง 20-84 ปี ผลปรากฏว่าเซลล์ตับส่วนใหญ่นั้นมีอายุไม่เกิน 3 ปี เสมือนเป็นอวัยวะของเด็กเล็ก👼 การศึกษาค้นคว้าของมหาวิทยาลัยไอโอว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่าตับเป็นอวัยวะเพียงชิ้นเดียวที่สามารถสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาเพื่อทดแทนเซลล์เก่าที่ถูกทำลายได้ เหมือน ‘การงอกใหม่’🔧 ตับของมนุษย์สามารถให้กำเนิดเซลล์ใหม่ขึ้นมาผลัดเปลี่ยนกับเซลล์เก่าได้ทุกปีทำให้ตับคงสภาพอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ที่ยังไม่พบในสัตว์ชนิดอื่น เพราะอัตราการงอกเกิดใหม่ของเซลล์ในอวัยวะอื่นจะค่อย ๆ ลดลงไปตามวัย แต่เซลล์ตับมนุษย์นั้นสามารถเจริญขึ้นใหม่ได้เสมอ ! 🤩 . ไม่ดื่มแอล ก็เสี่ยงได้! 🍺 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า แบคทีเรียในลำไส้บางชนิดสามารถผลิตแอลกอฮอล์ออกมาในปริมาณมาก จนทำให้บางคนต้องเมามายโดยไม่ได้ตั้งใจ และยังต้องล้มป่วยเป็นโรคไขมันพอกตับแบบที่ไม่ได้เกิดจากพิษสุราอีกด้วย เป็นภาวะที่บางคนมีอาการมึนเมาและป่วยเป็นโรคตับเหมือนคนติดสุรา ทั้งที่ชีวิตจริงไม่เคยได้ดื่มสักหยดเลยนั้น เคยมีการค้นพบครั้งแรกช่วงทศวรรษ 1940 โดยเรียกว่า "กลุ่มอาการร่างกายบ่มสุราได้เอง" (Auto-brewery Syndrome - ABS) ทีมนักวิจัยจากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) พบว่าเชื้อแบคทีเรีย K. pneumoniae เป็นเชื้อที่อาศัยในลำไส้มนุษย์ จึงมีการนำตัวอย่างอุจจาระมาเปรียบเทียบกับของคนปกติที่มีสุขภาพแข็งแรง 48 คน และเปรียบเทียบกับอุจจาระของคนที่ป่วยด้วยโรคตับ NAFLD อีก 43 คน ผลปรากฏว่าพบเชื้อ K. pneumoniae ในคนที่เป็นกรณีศึกษาในจำนวนสูงกว่าคนปกติถึง 19% ในขณะที่ผู้ป่วยโรคตับ NAFLD มีจำนวนแบคทีเรียสูงกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย . แล้วอะไรที่ทำลาย “ตับ” แบบไม่รู้ตัว? ⛔🔕 •ติดมัน🍟 การรับประทานอาหารทอดๆ มันๆ จนเคยชิน รวมถึงอาหารปิ้งย่าง อาหารที่มีไขมันสูง อาหารสำเร็จรูปหรืออาหารจั๊งค์ฟู้ดจะทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง เกิดไขมันสะสมเป็นไขมันพอกตับ •ติดหวาน🧋 การเติมหวานด้วยสารพัดเมนู ทั้งน้ำอัดลม น้ำปั่น ชา กาแฟ หรือชานมไข่มุก เมื่อน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป ร่างกายจะส่งไปเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) โดยจะเก็บไว้ได้เพียง 50 กรัม ส่วนที่เหลือ ตับจะส่งกลับไปที่กระแสเลือดแล้วเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน เกิดการสะสมเกิดเป็นไขมันพอกตับ •ติดปรุง🧂 ยิ่งทานรสจัดตับยิ่งต้องทำงานหนักเพราะแม้แต่พริกป่น ก็อาจปนเปื้อนด้วยเชื้อราที่ผลิตสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) หากยิ่งเติมเข้าไปมากๆ จะเกิดการสะสมของสารที่ตับและไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด •ติดส่อง🦉 มีผลจากการรวบรวมข้อมูลการศึกษาจากหลายแห่งทั่วโลกที่พบว่าคนที่นอนหลับไม่เพียงพอจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไขมันเกาะตับ (NAFLD) ได้ประมาณ 1.2 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่นอนหลับเพียงพอ ถึงร้อยละ 15 •ติดสวย💄 แค่ทาลิปสติกก็ส่งผลต่อตับได้ไม่รู้ตัว เพราะการทาลิปสติกอาจมีการปะปนของสารเคมีประเภทโลหะหนัก มีสารปรอท สารหนู สังกะสี อะลูมิเนียม เหล็ก โครเมียม ที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอย่างมาก รวมถึงสารเคมีจากสีย้อมผมและน้ำยาทาเล็บที่สาวๆนิยมกันอีกด้วย •ติดเมา🚬 การติดบุหรี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่นอกจากจะส่งผลต่อปอดแล้ว ยังส่งผลต่อตับเช่นกัน! เพราะการสูบบุหรี่จะส่งผลต่อการทำงานของตับผ่านการสูดดมควันบุหรี่และผ่านสารนิโคตินที่มีสารอนุมูลอิสระปะปนอยู่ •ติดต่อ💏 โรคตับที่ติดต่อทางเลือดหรือเชื้อไวรัส ทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน การใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บและเข็มฉีดยา •ติดยา(พารา)💊 การทานยาและอาหารเสริมในปริมาณมากเกินไป เช่น ยาพาราหรือยาลดน้ำหนัก การได้รับยาติดต่อกันเป็นเวลานานจะรบกวนการทำงานของตับ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับจนกลายเป็นภาวะตับวายได้ •ติดขี้เกียจ🥱 การปล่อยปละละเลยให้ตัวเองน้ำหนักเกิน ขี้เกียจ ไม่ชอบออกกำลังกาย ชอบอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดไขมันสะสมเป็นภาวะอ้วนลงพุง ตลอดจนกลายเป็นไขมันพอกตับ ที่ไม่ว่าจะเป็นคนอ้วนหรือผอมก็เป็นได้ . . How to ดูแลตับให้แข็งแรง 👍💪 🛌พักผ่อนให้เพียงพอ ให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่ 🍾ลดหรือเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรดื่มอย่างพอดี 🚭ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่ 🌭หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ของมันของทอด อาหารจำพวกแป้ง 🍜ลดการทานอาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูปต่างๆ 🥗ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างาย 🏋ควบคุมน้ำหนักตัวเองและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 💊ทานยาเท่าที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการกินยาสมุนไพรหรือยาที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ . . อย่าปล่อยให้ตับเป็นอวัยวะที่ถูกลืม เพราะเมื่อถึงวันที่ตับเริ่มพัง จะเริ่มดูแลวันนั้นก็ไม่ทันแล้ว... หาเวลาไปตรวจสุขภาพตับกันด้วยนะ ! 😉 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #WorldHepatitisDay #วันตับอักเสบโลก #ตับ #โรคตับ ขอบคุณที่มา : https://www.bbc.com/thai/international https://www.interpharma.co.th/articles/healthy-and-aging https://www.livplusthailand.com https://www.paolohospital.com/th-TH/center/Article/Details

ส่องปรากฏการณ์ ‘ฝนดาวตกวันแม่’ 💫🤰⭐ ในหนึ่งปีมีครั้งเดียว !! _______________ สิงหาคมของทุกๆปี ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงสำคัญสำหรับเหล่านักดูดาวทั้งหลาย แต่สำหรับบางคน ในเดือนสิงหาวันที่สำคัญสำหรับคนไทยเรานั้นก็คือ #วันแม่แห่งชาติ🤰แต่รู้กันหรือไม่... ว่าในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ นอกจากจะเป็นวันแม่ ก็ยังมีอีกหนึ่งปรากฏการณ์สำคัญทางดาราศาสตร์ที่เรียกว่า “ฝนดาวตกเพอร์เซอิด” หรือ #ฝนดาวตกวันแม่ ที่จะเกิดขึ้นเป็นประจำในทุกๆปีอีกด้วย !! ✨ STeP อยากพาทุกคนมารู้จักกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ ที่ใครหลายๆคนอาจยังไม่เคยได้ยินชื่อนี้กันเลยด้วยซ้ำ มาดูกันว่าฝนดาวตกวันแม่จะมีที่มาจากอะไร? ทำไมถึงต้องเรียกว่าฝนดาวตกวันแม่? แล้วเราจะสามารถมองเห็นได้จากตรงไหนในช่วงเวลาใดได้บ้าง อีกทั้งตลอดเดือนสิงหานี้จะมีปรากฏการณ์อื่นๆอีกไหมที่น่าสนใจ ตามมาดูกัน... 👇👇 . . ฝนดาวตกคืออะไร? 💫 ฝนดาวตกไม่ใช่ดาวที่ตกลงมารัว ๆ เหมือนเวลาฝนตก ☔แต่มันคือ ปรากฎการณ์ที่คนบนโลกจะสามารถมองเห็นแนวเส้นสว่างมากมายอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นระยะ ๆ ซึ่งจะมีอัตราการตกเป็นจำนวนดวงต่อชั่วโมง และถ้ายิ่งอัตราการตกเยอะเราก็มีโอกาสที่จะเห็นดาวตกในช่วงเวลานั้นเยอะขึ้นนั่นเอง เว้นแต่ว่าเราจะอาศัยอยู่ในเมืองที่มีแสงไฟจากตึก บ้านช่องหรือแสงไฟจากถนนที่เปล่งแสงสู้กับแสงของการลุกไหม้ของหินอวกาศ จนเรามองไม่เห็นดาวตกเลย . ฝนดาวตกเกิดขึ้นได้อย่างไร? 🌠 ฝนดาวตก เกิดขึ้นจากการที่โลกโคจรฝ่าเข้าไปในกลุ่มฝุ่นอุกกาบาตน้อยใหญ่ ซึ่งส่วนมากจะกำเนิดมาจาก #ดาวหาง☄️ ที่โคจรผ่านเข้ามาในระบบสุริยะชั้นใน และทิ้งกลุ่มฝุ่นอุกกาบาตตามแนวทาง ดาวหาง จะมีส่วนที่เรียกว่า นิวเคลียส ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 0.5 กิโลเมตรจนถึง 50 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยหินแข็ง ฝุ่น น้ำแข็ง และแก๊สแข็ง เมื่อดาวหางเคลื่อนที่เข้ามาในระบบสุริยะชั้นในเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ความร้อนจากดวงอาทิตย์จะทำให้น้ำแข็งและแก๊สแข็งระเหิดกลายเป็นไอ และขณะเดียวกันนั่นก็มีเศษชิ้นส่วนขนาดเล็กของดาวหางถูกสลัดทิ้งไว้ตามทางโคจร เรียกว่า “ธารสะเก็ดดาว” การที่โลกของเราเคลื่อนที่เข้าตัดหรือเคลื่อนที่เข้าใกล้กับเส้นทางของธารสะเก็ดดาวที่มีทั้งเศษฝุ่น เศษชิ้นส่วนขนาดเล็ก จนถึงเศษชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของดาวหางที่ได้ทิ้งเอาไว้ขณะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งเศษชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกแรงดึงดูดของโลกดึงเข้ามาเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ 🔥 เกิดเป็นลำแสงวาบขึ้นให้เห็นตอนกลางคืน เราจึงจะเห็นดาวตก ตกลงมามากเป็นพิเศษ ✨ . . #ฝนดาวตกวันแม่ 🤰🌟 ฝนดาวตกวันแม่ หรือ ฝนดาวตกเพอร์เซอิด (Perseids Meteor Shower) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกๆปี ซึ่งจะเกิดขึ้นในคืนวันที่ 12 สิงหาคม จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 13 สิงหาคม ฝนดาวตกวันแม่ เป็นฝนดาวตกที่มีความสว่างเป็นอันดับสองรองจากฝนดาวตกลีโอนิดส์ อีกทั้งยังมีสีสันสวยงาม ซึ่งเกิดจากเศษฝุ่นละอองที่ดาวหางสวิฟท์-ทัตเทิล (109P/Swift-Tuttle) เหลือทิ้งไว้ในวงโคจร และตกเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลกเรา จากนั้นจะเกิดการเผาไหม้จนเห็นเป็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า ปรากฏเป็นเส้นพุ่งออกจากกลุ่มดาวเพอร์เซอุส ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่มีผลกระทบต่อโลก . ทำไมต้องเรียกว่า #ฝนดาวตกวันแม่ ? 🤰🪄 เนื่องจากอัตราการตกของฝนดาวตกวันแม่ จะมีอัตราการตกสูงสุดในคืนวันที่ 12-13 สิงหาคมของทุกๆปี จึงได้รับสมญานามว่า ฝนดาวตกวันแม่ ทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติหรือ NARIT ได้มีการวิเคราะห์และคาดว่าฝนดาวตกวันแม่จะมีอัตราการตกเฉลี่ยสูงสุด 110 ดวงต่อชั่วโมงเลยทีเดียว ในช่วงเวลา เที่ยงคืนของวันที่ 12 ตลอดจนเช้ามืดของวันที่ 13 สิงหาคม ถึงเวลาประมาณ 2:00 น. ซึ่งจะมีศูนย์กลางการกระจายอยู่ในกลุ่มดาวเพอร์เซอุส บริเวณท้องฟ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงเวลาที่ปราศจากแสงจันทร์รบกวนหรือในเวลาที่ฟ้ามืดสนิท . แล้วทำไมถึงเรียกว่า เพอร์เซอิด (Perseids) 🗽 ชื่อ Perseid ถูกตั้งขึ้นโดยนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี Giovanni V.Schiaparelli เมื่อปี คศ.1866 โดยให้ชื่อนั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกลุ่มดาว ที่อยู่ใกล้เคียงกับจุด radiant หรือจุดเสมือนแหล่งกำหนดของดาวตก นั่นก็คือกลุ่มดาวเจ้าชายเปอร์เซอุส (Perseus) โดยที่ Schiaparelli สังเกตว่าจุด radiant ของฝนดาวตกนี้ใกล้เคียงกับ แนวการเคลื่อนที่ของดาวหาง 109P/ Swift-Tuttle ซึ่งเข้ามาในระบบสุริยะชั้นในเมื่อปี คศ.1862 นั่นเอง . . เทคนิคชมฝนดาวตกแบบจุใจ !! 🌟 🌃 ดูในที่มืดสนิท ไม่มีแสงไฟรบกวน 🌳เลือกสถานที่โปร่ง โล่ง ที่ห่างไกลจากแสงเมือง เช่น ภูเขา ทะเล หรือลานกว้าง 👀นอนชมได้ด้วยตาเปล่า จะช่วยให้มองเห็นในมุมกว้างและชัดเจนที่สุด ⛺เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เช่น เก้าอี้สำหรับเอน , เสื่อ หมอน หรือผ้าห่ม 🧐ศึกษาหรือติดตาม ตำแหน่งของกลุ่มดาวก่อน เพื่อรู้จักทิศทางของศูนย์กลางกระจาย 🧭เลือกมองไปทางท้องฟ้าฝั่งตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ 🕦เลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป . แน่นอนว่านอกจาก ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ (ฝนดาวตกวันแม่) จะมีให้ชมกันในวันนี้แล้ว ก็ยังมีปรากฏการณ์อีก 3 อย่างที่น่าติดตามดูในเดือนสิงหาคมนี้ ก็คือ 👇 #ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกัลกรุงเทพฯ 🌞 16 สิงหาคม ในช่วงเวลา 12.22 น. ดวงอาทิตย์จะโคจรมาตั้งฉากกับกับพื้นโลก เป็นครั้งที่ 2 หรือเรียกกันว่า ดวงจันทร์ดับ สังเกตได้ง่ายๆจาก วัตถุที่อยู่กลางแดดจะดูเหมือนไร้เงา เนื้องจากเงาจะตกอยู่ใต้วัตถุพอดี #ดาวเสาร์โคจรใกล้โลกที่สุดในรอบปี !! 🪐 27 สิงหาคม ดาวเสาร์จะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ส่งผลให้ดาวเสาร์อยู่ในตำแหน่งใกล้โลกที่สุดในรอบปี ห่างจากโลกประมาณ 1,310 ล้านกิโลเมตร เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จะสังเกตได้จากทางทิศตะวันออก ดาวเสาร์จะสว่างสว่างยาวนานตลอดทั้งคืนจนถึงตอนเช้า #Super Blue Moon 🌕 30-31 สิงหาคม ปรากฏการณ์ซูเปอร์บลูมูน คือ ดวงจันทร์เต็มดวงที่ใกล้โลกที่สุดในรอบปี มีระยะห่างจากโลกประมาณ 357,334 กิโลเมตร และบลูมูน ที่ดวงจันทร์เต็มดวงครั้งที่สองของเดือน ซึ่งปกติจะเกิดดวงจันทร์เต็มดวงเพียงคัร้งเดียวเท่านั้น . . ในวันแม่ปีนี้ หากใครยังไม่รู้จะทำกิจกรรมอะไร ลองชวนคุณแม่มาตั้งแคมป์ นอนดูฝนดาวตกวันแม่กันได้นะ 🤩 มาสร้างบรรยากาศใหม่ๆ ที่ใน 1 ปีมีแค่ครั้งเดียว !! หรือถ้าใครที่ไม่ได้ออกจากบ้าน ก็ยังมีโปรแกรม Virtual Telescope Project ให้ได้ดูฝนดาวตกแบบเสมือนจริงในหลากหลายช่องทาง เช่น McDonald Observatory และ www.virtualtelescope.eu ด้วยนะ 💫 💖 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #วันแม่แห่งชาติ #ฝนดาวตก #ฝนดาวตกวันแม่ #ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ #ดาราศาสตร์ #ดาวเสาร์ใกล้โลก #ดวงอาทิตย์ตั้งฉาก #Superbluemoon ขอบคุณที่มา : สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT)

เจาะ 10 เทคโนโลยียานยนต์บนรถ “Rolls-Royce” 🚘✨ 👑 นวัตกรรมสุดเจ๋ง ที่สุดแห่งรถหรูระดับโลก !!! 🏴🌍 _____________ ตอนนี้ จะไม่พูดถึงรถแบรนด์หรูระดับโลกอย่าง Rolls-Royce ที่กำลังเป็นที่จับตามองอยู่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้... ด้วยดีไซน์ทีสร้างภาพจำให้แก่ยานพาหนะที่ ‘หรูหรา’ ✨ แบบไม่มีใครเทียบติด และได้รับการขนานนามจากสื่อต่างๆ ว่าเป็น ‘ราชาแห่งยนตรกรรม’ 👑 จากทั้งสมรรถนะ ดีไซน์งดงามกับความไฮเอนคลาสอันเหลือล้น รวมถึงราคาที่ไม่ใช่ทุกคนจะจับต้องได้ ซึ่งใครหลายๆคนคงจะใฝ่ฝัน อยากจะมีรถหรูดีดีขับกันสักคันนึง และแน่นอนว่าแบรนด์โรลส์รอยซ์ คงจะเป็นตัวเลือกที่อยู่ในฝันของใครหลายๆคนเช่นกัน... ROLLS-ROYCE เมื่อเอ่ยถึงรถยนต์แบรนด์นี้หลายคนก็มักจะนึกถึงความหรูหรา ราคาแพง และเปี่ยมไปด้วยความเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นตำนานของรถยนต์หรูอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ แต่รู้กันหรือไม่ ⁉ ว่ารถแบรนด์หรูระดับโลกขนาดนี้ จะมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเจ๋งๆอะไรซ่อนอยู่บ้าง? แล้วอะไรที่ทำให้ราคาสูงได้มากขนาดนี้ ? 💡 STeP จะพามาเจาะลึกกับ 10 เทคโนโลยีสุดล้ำที่ใครหลายๆคน อาจยังไม่รู้จักกันบนรถยนต์ภายใต้แบรนด์ #Rolls-Royce 👇👇 . . 🔰กลไกสปิริต ออฟ เอ็กสตาซี (SPIRIT OF ECSTASY) 🔰 สัญลักษณ์โรลส์รอยซ์โลโก้ ที่มีชื่อเรียกว่า สปิริตออฟเอ็กสตาซี เป็นสัญลักษณ์รูปปั้นเทพีนำโชค ที่ตั้งอยู่บนกระโปรงหน้ารถ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเรียบหรู คลาสสิก และสง่างาม ทำจากเหล็กสแตนเลสและเสริมความแข็งแรงด้วยโลหะ จากเดิมที่สมัยก่อนมีการหล่อขึ้นรูปด้วยวิธีการเก่าแก่กว่า 5000 ปี ในปัจจุบันก็ได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต ด้วยการนำวิธีการขึ้นภาพแบบ 3 มิติบนคอมพิวเตอร์ สำหรับความพิเศษของเจ้าตัวนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่โลโก้ตั้งไว้หน้ารถเท่านั้น แต่ถูกพัฒนาให้ ตั้งอยู่บนฐานที่มีสปริงทำให้สามารถหดตัวหลบลงไปด้านในเพื่อป้องอันตรายหากโดนกระแทกหรือสัมผัสอย่างรุนแรง เป็นกลไกที่ทำหน้าที่ดึงเข้ามาเก็บเพื่อป้องกันการโจรกรรมและความเสียหาย อีกทั้งยังถูกประกอบด้วยตลับลูกปืนและข้อต่อที่ถูกซ่อนไว้ถึง 24 ชิ้น รวมถึงยังมีตู้เซฟไว้สำหรับเก็บมาสค็อตโดยเฉพาะอีกด้วย . 🛰เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ Planar 🛰 เป็นการควบคุมการชับเคลื่อนที่เรียกว่า ‘ระบบช่วงล่าง planar’ ระบบนี้เป็นผลมาจากการทดสอบและพัฒนาร่วม 10 ปี เพื่อให้เกิดความรู้สึกเสมือนบินแม้จะอยู่บนพื้นดิน คือพัฒนาการทางวิศวกรรม ตลอดจนเทคโนโลยีการสแกนและซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานที่มีความซับซ้อน รวมเอาตัวซับแรงกระแทกปีกนกชิ้นบน (Upper Wishbone Damper) ตัวแรกของโลกไว้เหนือระบบกันสะเทือนล้อหน้า ระบบนี้ทำงานร่วมกับระบบกล้องสเตอริโอ Flagbearer คอยอ่านสภาพเส้นทางข้างหน้าและเตรียมระบบช่วงล่างให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวถนน และระบบสัญญาณดาวเทียมของแบรนด์ (Satellite Aided Transmission) ผ่านระบบซอฟต์แวร์ Planar ที่ออกแบบมาเฉพาะ สามารถคาดการณ์และตอบสนองได้ดี เพื่อปรับปรุงระบบรองกับการกระแทกแบบอิเล็กทรอนิกส์ . 📸เทคโนโลยีระบบกล้อง Flagbearer 📸 เป็นเทคโนโลยีที่ประกอบด้วยกล้องสเตอริโอ ผนึกอยู่กับกระจกหน้า ระบบ Flagbearer เป็นกล้องคู่ สแกนพื้นถนนด้านหน้า เพื่อคอยอ่านสภาพเส้นทางข้างหน้า ช่วยดูเส้นทางจราจรและเตรียมระบบช่วงล่างให้พร้อมสำหรับการเปลียนแปลงบนถนน รวมถึงระบบเกียร์ที่เชื่อมกับสัญญาณดาวเทียม (Satellite Aided Transmission)ซึ่งจะสามารถดึงข้อมูล GPS เพื่อให้เลือกเกียร์ที่เหมาะสมล่วงหน้า ในการขับขี่อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยนั่นเอง . 🚪เซนเซอร์ G-force 🚪🗝︎ ปกติแล้ว G Senser หรือ Gravity Sensor คือ เซนเซอร์ ที่ใช้วัดแรงดึงดูด จากแรงกระแทก หรือมีการเคลื่อนหรือสั่นไหวอย่างแรง โดย G-sensor เมื่อนำมาใช้ใน กล้องติดรถยนต์ จะทำหน้าที่วัดแรงที่กระทำของรถสามทิศทางคือ แกนX แกนY และแกนZ หงรือ ทิศทางขึ้นลง (แกนZ) ทิศทางซ้ายขวา (แกนX) และทิศทางหน้าหลัง (แกนY) โดยเมื่อรถยนต์เกิดการชนไม่ว่าด้านใด กล้องติดรถยนต์ ที่มี G-sensor จะทำการล็อกไฟล์วีดีโอในลูปนั้นไว้ เพื่อป้องกันการบันทึกทับโดยทันที ซึ่งทำให้เราสามารถเก็บเหตุการ์ณที่สำคัญไว้เป็นหลักฐานต่อไป วิศวกรของแบรนด์เลือกที่จะพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้เป็นจุดเด่นให้ก้าวหน้าขึ้น และเป็นครั้งแรกที่สามารถเปิดประตูได้ด้วยระบบไฟฟ้า⚡สำหรับ โรลส์-รอยซ์ จะนำระบบเซนเซอร์ตัวนี้ มาติดตั้งไว้ทีประตู เพื่อจะสามารถปิด-เปิดประตูได้โดยอัตโนมัติ เนื่องจากมีเซนเซอร์ตามแนวยาวและแนวขวางในตัวรถ ตลอดจนเซนเซอร์ G-force ที่ติดอยู่ที่ประตูแต่ละบาน ที่จะช่วยห้การเปิด-ปิดประตู ทำงานได้อย่างรวดเร็วและนุ่มนวลมากขึ้น . 🧬เส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) 🧬 สายใยแก้วนําแสง (Fiber Optic) คือ สายสัญญาณรูปแบบแก้วพิเศษขนาดเส้นใยเล็กพิเศษ สามารถนำส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลจากสัญญาณข้อมูลไฟฟ้าจากต้นทางแปรเปลี่ยนเป็นข้อมูลแสงยังปลายทางได้อย่างรวดเร็วและเสถียรสูงกว่าสายนำส่งสัญญาณรูปแบบอื่น เลยได้รับความนิยมในการนำมาใช้ในการเชื่อมต่อโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, โครงข่ายโทรศัพท์, ระบบ Network, ระบบกล้องวงจรปิด ฯลฯ รวมถึงเป็นตัวนำแสง ที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าจึงปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย สำหรับบนรถโรลส์-รอยซ์ มีการนำเส้นใยแก้วนำแสงมาใช้ ยาวกว่า 25 เมตร นำมาใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลเสียงในยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ และมีการนำเส้นใยแก้วนำแสงมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงจะไม่ถูกรบกว เพดานห้องโดยสารสตาร์ไลท์ เฮดไลนเนอร์ (Starlight Headliner) ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของ Bespoke ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของแบรนด์ ประกอบไปด้วยดวงไฟใยแก้วนำแสงทอมือ 1,340 ดวง ลูกค้าสามารถระบุกลุ่มดาวที่ตนต้องการได้ ซึ่งแบรนด์จะทำงานร่วมกับหอดูดาวในท้องถิ่นเพื่อยืนยันความถูกต้อง การผลิตเพดานห้องโดยสารนี้ต้องใช้การเดินสายเคเบิลด้วยมืออย่างประณีต ความยาวทั้งหมดกว่า 2 กม. . 📡ไมโครโพรเซสเซอร์(microprocessor)📡 ไมโครโพรเซสเซอร์ คือ ชิปที่ใช้เป็นหน่วยประมวลผลกลางของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่มีการพัฒนามาปรับใช้กับบนรถยนต์ เพื่อใช้เทคโนโลยีไมโครในการเข้าควบคุมระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์ของยานพาหนะ นั่นเอง เป็นเทคโนโลยีทางอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาให้อยู่บนอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับ เช่น จอภาพแสดงความเร็วของรถ การประมวลผลของระยะเวลา ปริมาณของน้ำมัน แผนที่ GPSและเส้นทางต่างๆ รวมถึงการปรับอุณหภูมิภายในรถ และตรวจสอบระบบการทำงานของเครื่องยนต์อีกด้วย และสำหรับบนรถโรลส์-รอยซ์ ก็มีชิบไมโครโพรเซสเซอร์มากกว่า 100 ตัว ที่ทำหน้าที่ประมวลผลโค้ด 130 บรรทัด เพื่อให้มีฟีเจอร์ที่ล้ำสมัยและสามารถถูกเรียกใช้งานได้ทันทีและต่อเนื่อง . 🪡เส้นใยคาร์บอน (Carbon fiber) 🪡 เส้นใยคาร์บอน (Carbon fiber) หรือไฟเบอร์แกรไฟต์ เป็นวัสดุทางวิทยาศาสตร์ที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบอย่างน้อยร้อยละ 90 โดยเส้นใยคาร์บอนจะมีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-10 ไมโครเมตร เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมมากในอุตสาหกรรมการบินและวิศวกรรมอวกาศ การทหาร หรือมอเตอร์สปอร์ตเพราะมีความแข็งแรงสูงมาก ต้านทานต่อแรงดึงสูง ทนต่อสารเคมี ทนต่ออุณหภูมิที่สูงและน้ำหนักเบา การทอเส้นใยคาร์บอนบนรถโรลส์-รอยซ์ เป็นการพัฒนาแกนกลางของฝาครอบแอโร แควลิงสำหรับตัวรถส่วนหลังในยนตรกรรม ได้รับการเชื่อมแบบบุ๊กแมทช์ (Book match) ให้เหมือนกับวีเนียร์ภายในยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ ซึ่งทั้งหมดทำด้วยมือเพื่อให้ได้รูปตัววีที่สมมาตรอย่างสมบูรณ์แบบ . 🌞MEPS / Micro Environment ⛄ เป็นเทคโนโลยีการกรองอากาศ ระบบฟอกอากาศภายในรถที่ถูกพัฒนาเพิ่มเติมด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบครบวงจร โดยตัวซอฟต์แวร์จะตรวจจับสิ่งปนเปื้อนภายในรถ รวมถึงสามารถวัดคุณภาพอากาศและเปลี่ยนโหมดการทำงานได้โดยอัตโนมัติ ทั้งจากภายในและภายนอก หากพบว่าระดับของการปนเปื้อนในอากาศนั้นสูงเกินไป ระบบนี้จะผันอากาศทั้งหมดในรถไปยังตัวกรองนาโนฟลีซ ซึ่งสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนอนุภาคขนาดเล็กพิเศษเกือบทั้งหมดออกจากรถได้เกือบทั้งหมดไปสู่ภายนอกภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที . 🏭️Home of Rolls-Royce 🏭️ Home of Rolls-Royce เป็นยิ่งกว่าโรงงานผลิตรถยนต์ แต่เรียกเป็นหอศิลป์แห่งโรลส์-รอยซ์! ซึ่งเป็นห้องปลอดเชื้อภายในสำนักงานใหญ่ของโรลส์-รอยซ์ที่ใช้สำหรับการผลิตรถยนต์นั่นเอง ซึ่งในส่วนของการผลิตนั้นภายในห้องปลอดเชื้อจะมีเซ็นเซอร์อยู่เพื่อทำการวัดความเข้มข้นของอนุภาคระดับไมครอน และจะแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบอนุภาคที่มีขนาดใหญกว่า 001 ไมครอน (อนุภาคเล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์) รวมถึงยังมีการใช้หุ่นยนต์ที่สามารถผลิตชิปเฉพาะให้กับตัวรถ อีกทั้งยังใช้หุ่นยนต์เฉพาะ สำหรับการลงสีละเคลือบสีให้เงาวับตามมาตรฐานของแบรนด์ และรวมถึงการใช้ผนังที่เป็นกระจกทั่วทั้งห้อง เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ใช้แสงจากธรรมชาติอีกด้วย . ⚡ Rolls Royce Spectre ⚡ ท้ายที่สุดคือ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Rolls Royce ในชื่อรุ่นว่า “Rolls Royce Spectre” 🏎 หรือ อัครานยนต์ไฟฟ้า ที่คาดว่าจะพร้อมในปีนี้ ทำให้เชื่อว่ารถไฟฟ้า Ultra-Luxury Electric Super Coupé คันแรกของโลก จะมีราคาเริ่มต้นในประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท เป็นพลังงานสะอาด ที่เข้าสู่ยุคของการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ มีการใช้ระบบสมองกลอัจฉริยะมากกว่า 1000 ฟังก์ชั่น และติดตั้งด้วยระบบเทคโนโลยีบีสโป๊กที่ล้ำสมัยที่สุดในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ภายใต้ท้องรถ ช่วยลดเสียงรบกวนภายนอกได้อีกด้วย . . ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยบวกกับดีไซน์ที่โดดเด่นขนาดนี้ จึงทำให้ราคาค่อนข้างสูง เพราะในการพัฒนาและการใช้วัสดุต่างๆที่ค่อนข้างพรีเมียม หาได้ยาก และมีราคาสูงมาก จึงทำให้ต้นทุนในการผลิตสูง แต่เมื่อแลกกับความคุ้มค่าที่ได้มา ก็ทำให้เป็นรถที่ยังคงเป็นที่ต้องการสำหรับใครหลายๆคน!🚘✨ 👑 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Rolls-Royce #รถโรลส์-รอยซ์ #รถหรูระดับโลก #เทคโนโลยียานยนต์ #นวัตกรรมยานยนต์ #โรลส์รอยซ์ไฟฟ้า #EV #รถไฟฟ้า ขอบคุณที่มา : https://www.gqthailand.com/toys/article/rolls-royce-spectre https://www.scimath.org/article/item/4814-fiber-optic https://www.mreport.co.th/news/statistic-and-ranking/222-CFRP-CFRTP-market-2035 https://motortrivia.com/2019/05/rolls-royce-marks-115-years-of-innovation/ https://carvariety.com/you-know-those-stories-about-rolls-royce-they-are-all-true/

เป็นไปได้ไหม ที่ “แมวส้ม“ จะเป็นสิ่งพิเศษ... สำหรับวิทยาศาสตร์ ! 🐈🐱 __________ เห็นน้องแมวส้มทีไร...ก็อดใจไปเล่นด้วยไม่ได้ทุกที... 😻 แมวสีส้มเป็นแมวที่เรียกได้ว่าโดดเด่นและเป็นที่นิยมของเหล่าคนรักแมวทั่วโลกเลยทีเดียว แม้ว่าแมวสีส้มหรือที่เราชอบเรียกกันว่า #น้องแมวส้ม 🧡 (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Ginger Cat) นั้นไม่ใช่ชื่อเรียกสายพันธุ์แมวแต่เป็นชื่อเรียกแมวที่มีสีขนส้มๆ เหลืองๆ เฉยๆ ก็ตาม แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าความเป็นแมวส้มนั้นพิเศษมากกว่าที่คิด... . ในวันที่ 1 กันยายน ของทุกปีนี้ก็ยังเป็น #วันยกย่องแมวส้ม🐈 อีกด้วย STeP ขอพามารู้จักกับความพิเศษที่วิทยาศาสตร์ได้กล่าวไว้ มาดูกันว่า น้องแมวส้มจะเป็นสิ่งพิเศษอย่างไร? ทำไม ใครๆต่างก็หลงรักแมวส้ม 👇👇 . . #วันยกย่องแมวส้ม 🐈🧡 ⠀⠀⠀ทุกวันที่ 1 กันยายน ของทุกปีเป็น “วันยกย่องแมวส้ม” หรือ “Ginger Cat Appreciation Day” ที่ก่อตั้งโดย Chris Roy ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ชาวอเมริกา ที่ผันตัวเป็นนักเคลื่อนไหวสิทธิสัตว์ เพื่อให้ผู้คนให้ความสำคัญกับเจ้าเหมียวสีส้ม ที่มักถูกทอดทิ้งเป็นอันดับที่สองรองจาก "แมวดำ" นั่นเอง 🐈⬛ . 😽ต้นกำเนิดแมวส้ม ⠀⠀⠀จากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของแมวในยุคต่างๆ ตั้งแต่เมื่อ 9,000 ปีก่อนที่มนุษย์ยังใช้ชีวิตแบบล่าสัตว์และย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ จนถึงแมวในยุคศตวรรษที่ 20 แมวส้มถูกวิเคราะห์ว่าคือลูกหลานของ African wildcat มีต้นกำเนิดตั้งแต่เมื่อ 9,000 ปีที่แล้ว เป็นแมวที่กระจายแพร่หลายไปทั่วโลก ซึ่งแมวส้มไทยก็ยังถูกคาดการณ์ว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากแมวอียิปต์นั่นเอง . 😼เคยสังเกตกันไหม? ว่าแมวส้มมักจะเป็นตัวผู้ ⠀⠀⠀นั่นก็เพราะว่ายีนที่กำหนดขนสีส้มของน้องบนโครโมโซม X สมมติเป็น X1 แมวตัวผู้ที่มีโคโมโซม XY ต้องการ X1 แค่ตัวเดียวก็จะทำให้น้องมีขนสีส้ม แต่ตัวเมียกลับต้องการถึง 2 ตัว ถึงจะมีขนสีส้ม 🧬 ⠀⠀⠀อธิบายง่ายๆ ก็คือ แมวตัวผู้สีส้ม เกิดจากพ่อส้มหรือแม่ส้มแค่ตัวเดียวก็ได้ แต่แมวตัวเมียสีส้ม จะต้องเกิดจากพ่อส้มและแม่ส้มสองตัว (หรือพ่อส้ม+แม่สามสี) ทำให้เกิดแมวตัวผู้สีส้มง่ายกว่าตัวเมียสีส้มมาก ดังนั้นทำให้น้องแมวส้มส่วนใหญ่จึงเป็นแมวตัวผู้นั่นเอง ! . 😹แมวส้มอ้วนกว่าแมวตัวอื่น ⠀⠀⠀งานวิจัยในปี 1995 จากฝรั่งเศส งานศึกษานี้ถือเป็นงานของคนรักแมวส้มอย่างหนึ่ง เพราะเน้นการศึกษาเจ้าแมวสีส้มโดยเฉพาะ ตัวงานวิจัยทำการรวบรวมและศึกษาพฤติกรรม โดยรวบรวมและจำแนกแมวออกเป็น 7 กลุ่มสี แล้วเปรียบเทียบข้อมูลหลายๆ ด้าน ซึ่งงานศึกษาแมวส้ม ได้ข้อสรุปที่เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะคือ ... ⠀⠀⠀แมวส้มมีแนวโน้มจะมีน้ำหนักตัวมากกว่าแมวสีอื่น! ซึ่งหมายความว่าเจ้าแมวส้มนั้นอ้วนกว่าเพื่อนนั่นเอง โดยผลการศึกษาระบุว่า “แมวส้มตัวผู้มีค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัวมากกว่าแมวสีอื่นๆ ส่วนแมวส้มตัวเมียมีแนวโน้มจะน้ำหนักน้อยกว่าแมวสีอื่นๆ” เพราะ เจ้าแมวสีส้มมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยขยับตัว ชอบนอน หรือพูดเหมารวมคืออาจจะขี้เกียจหน่อย ถ้าเจ้าของตามใจก็อาจจะทำให้มันอ้วนได้ง่ายนั่นเอง . 🐱แมวส้มเป็นมิตรมากที่สุด ? ⠀⠀⠀งานวิจัย การสำรวจนิสัยน้องแมวจากอาสาสมัครจำนวน 189 คน ผลพบว่าอาสาสมัครนั้นได้ลงความเห็นว่าแมวส้มมีนิสัยเป็นมิตรมากที่สุด (ผลอื่นๆ ที่น่าสนใจคือแมวสีขาวถูกลงความเห็นว่ามีนิสัยค่อนเย็นชาและห่างเหิน และแมวสีเปรอะ (Turtoise Shell) มีนิสัยไม่ค่อยทนกับสิ่งที่ไม่ชอบ) แต่จริงๆ แล้วก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนักว่าสาเหตุที่ทำให้น้องแมวส้มเป็นมิตรและขี้อ้อนมากกว่าแมวสีอื่นคืออะไรกันแน่ แต่เชื่อว่าลักษณะนิสัยบางอย่างอาจจะถูกถ่ายทอดมาพร้อมกับยีนสีขนนั่นเอง ⠀⠀⠀อย่างไรก็ตามงานวิจัยไม่ได้ระบุหรือยืนยันความเชื่อที่ว่าแมวสีส้มมีความน่ารักและเป็นมิตรกว่า แต่หากการเหมารวมนี้เป็นจริง ก็อาจเป็นเพราะพฤติกรรมที่ดูกล้าหาญ (รวมทั้งเสี่ยงภัยของมัน) ได้สร้างความประทับใจต่อมนุษย์และสร้างความเกรงใจต่อแมวขี้อายสีอื่นๆ ทำให้พวกมันกล้าเข้าหามนุษย์มากกว่าและดูเป็นมิตรกับมุนษย์มากที่สุด . 😼แมวส้มชอบทำตัว “เสี่ยงตาย” แต่ “เซ็กซี่” ? ⠀⠀⠀คาเรน วู (Karen Wu) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า แมวที่มีขนสีส้มมักมีพฤติกรรม ‘เสี่ยงตาย’ และมีความ ‘เซ็กซี่’ 🔥 ต่อแมวด้วยกันเองมากกว่าแมวประเภทอื่น ก็คือน้องแมวส้มชอบทำอะไรเสี่ยงๆ มากกว่าน้องแมวสีอื่น น้องดื้อและซนมากนั่นเอง แต่น้องก็ยังมีแรงดึงดูดกับแมวประเภทอื่นๆ จึงทำให้เจ้าขนปุยสีส้มอาจมีสถานะทางสังคม (ของแมว) สูง ⠀⠀⠀งานวิจัยในปี 2007 โดยปอนเทียร์ ระบุว่า แมวสีส้มมีความน่าสนใจทางเพศมากกว่าแมวสีอื่น ๆ ในสายตาแมวด้วยกันเอง เนื่องจากนักวิจัยพบว่าแมวเพศผู้สีส้มนั้นมีน้ำหนักมากกว่าแมวสีอื่น อีกทั้งยังมีขนาดอวัยวะโดยเฉลี่ยใหญ่กว่า เป็นผลให้พวกมันประสบความสำเร็จในการสืบพันธุ์ที่มากกว่า เพราะแมวเพศผู้ที่มีขนาดใหญ่กว่าจะมีอำนาจเหนือกว่าและก้าวร้าวมากกว่า ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการสืบพันธุ์ รวมทั้งมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตอีกด้วย . 😸แมวส้มพบเจอได้ทุกที่ ? ⠀⠀⠀งานวิจัยของปอนเทียร์และคณะที่เผยแพร่เมื่อปี 1995 (Pontier et al.(1995)) ที่ได้ทำการสำรวจและศึกษาแบบสุ่มกับกลุ่มตัวอย่างประชากรแมว 59 ถึง 491 ตัวในฝรั่งเศสระหว่างปี 1982 ถึง 1992 ซึ่งได้ทำการตรวจสอบความถี่และความแปรปรวนของยีนที่ทำให้เกิดขนสีส้มในแมว มีการพบว่าในต่างประเทศจะพบแมวส้มมากที่สุดในเขตชนบทไม่ใช่ในย่านเมือง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าแมวส้มตัวผู้นั้นมีขนาดใหญ่กว่าแมวตัวผู้สีอื่น และในแถบชนบทจะมีนิสัยจับคู่กับตัวเมียหลายตัว ในขณะที่แมวตัวเมียจะจับคู่กับตัวผู้เพียงตัวเดียว ทำให้แมวส้มตัวผู้นั้นมีโอกาสผสมพันธุ์กับแมวตัวเมียมากกว่าและทำให้เกิดการส่งต่อยีนขนสีส้มง่ายขึ้นและมากขึ้น จึงทำให้เกิดน้องแมวส้มจำนวนมาก และน้องยังมีสเน่ห์กับกับแมวประเภทอื่นๆ อีกด้วยนะ . 🙀แมวส้มทุกตัวจะมีสัญลักษณ์ตัว M ที่หน้าผาก Ⓜ ⠀⠀⠀มีการระบุเอาไว้ว่าแมวส้มทุกตัวคือ แมวลายสลิดหรือที่เรียกว่าลายเสือ ซึ่งลักษณะเด่นของแมวประเภทนี้ก็คือ น้องจะมีสัญลักษณ์ที่อยู่บนหน้าผากเป็น “รูปตัว M” บางตัวอาจจะมีสัญลักษณ์ให้เห็นแบบเข้ม ๆ หรือบางตัวอาจจะเป็นสัญลักษณ์แบบจาง ๆ ซึ่งแต่ละตัวจะมีความเข้มหรือความจางที่แตกต่างกันออกไป . . แต่ไม่ว่าน้องแมวจะมีสีอะไร หรือมีนิสัยแบบไหน.. ถ้าน้องเป็นแมวของเราแล้ว น้องก็จะเป็นแมวที่น่ารักที่สุดในโลกสำหรับเราอยู่ดี! อย่าลืมดูแลน้อง และรักน้องให้มากๆ เพราะทั้งโลกของน้องอาจจะมีแค่เราคนเดียว 😽🐈 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #cat #gingercat #วันยกย่องแมวส้ม #แมวส้ม #น้องแมว #คนรักแมว #แมว #สัตว์เลี้ยง อ้างอิง : https://www.jstor.org/stable/3545954 https://onlinelibrary.wiley.com/.../j.1439-0310.2006.01320.x

ทำไมเจ้าตูบ ถึงเป็นเพื่อนที่แสนดีของมนุษย์กันนะ !? 🐶💖👧 ______________ เชื่อว่าคนเลี้ยงหมาหรือคนรักหมา ต่างก็เคยได้ยินคำว่า “หมาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์” Dog is man’s best friend ! 🐕 เพราะหมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และสิ่งที่เผ่าพันธุ์สี่ขาอย่างเจ้าตูบได้ฝากความประทับใจไว้กับมนุษย์เรามากที่สุดก็คือ ‘ความรักและความซื่อสัตย์’ 💓ทีมีต่อเจ้าของ นอกจากนั้นยังมีความเชื่อกันอีกว่า หมามีประสาทสัมผัสสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ต่าง ๆ ของเจ้าของ ไม่ว่าจะสุข เศร้า เหงา ทุกข์ ถึงแม้ว่าน้องหมาจะไม่สามารถพูดได้ แต่น้องก็จะคอยอยู่เป็นเพื่อนและพยายามปลอบประโลมด้วยวิธีของน้องเอง... 🐕🦺💞 วันนี้ STeP อยากมาแชร์ถึงความสามารถของเจ้าตูบในทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ และในวันที่ 26 สิงหาคม ของทุกปีนั้นก็ยังเป็นวัน #สุนัขโลกอีกด้วย 🐶 เราจึงอยากให้ทุกคนได้ตระหนักและมองเห็นความสำคัญของเจ้าตูบเพื่อนแสนดีของเรามากขึ้น! มาดูกันว่า เพราะอะไรทำไมเจ้าตูบ ถึงเป็นเพื่อนที่แสนดีของมนุษย์กันนะ !? 💛 . . 🗣 น้องหมาเข้าใจภาษาของเรา 🔊 งานวิจัยเกี่ยวกับสุนัขโดย Stanley Coren นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน พบว่าสุนัขมีระดับสติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์อายุ 2 ปี ทำให้โดยเฉลี่ยสุนัขสามารถเรียนรู้คำศัพท์ได้ 165 คำ รวมถึงรับรู้การแสดงออกของเรา หากเป็นสุนัขที่มีความฉลาดมากกว่าสุนัขทั่วไป ซึ่งพบได้ 20% สุนัขเหล่านี้จะสามารถเรียนรู้คำศัพท์ได้ถึง 250 คำ ดังนั้น สุนัขสามารถเข้าใจอะไรได้มากกว่าที่เราคิด บางครั้งที่พวกมันไม่ตอบสนอง ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะสุนัขก็มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ที่บางครั้งก็ไม่อยากรับฟัง ไม่อยากพูดคุย ไม่อยากตอบสนองนั่นเอง . 🤧น้องหมารับรู้ได้เมื่อเรากำลังเจ็บป่วย🏥 สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความสามารถพิเศษในการดมกลิ่น ซึ่งเหนือกว่ามนุษย์ 10,000-100,000 เท่า และขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ เมื่อเราป่วยสุนัขจะได้กลิ่นสารในกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ระเหย (VOCs) ที่ร่างกายมนุษย์เราสร้างขึ้น ซึ่งต่างไปจากกลิ่นเดิมรวมถึงจะสังเกตสีหน้าของเรา ทาอมีใบหน้าและพฤติกรรมเปลี่ยนไป สุนัขจะรับรู้ได้ว่าเราอาจกำลังบาดเจ็บหรือไม่สบายนั่นเอง มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 โดยทางทีมวิจัยใช้หมา 5 ตัวเข้าทำการทดลองด้วยการให้ดมกลิ่นเพียงอย่างเดียว ผลที่ได้คือ เมื่อหมาสามารถระบุตัวผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด 55 คน และมะเร็งเต้านม 31 คน มีทั้งที่ป่วยในระยะแรกเริ่มและระยะรุนแรง จากผู้ป่วยที่หมาระบุตัวมาแล้วนั้น ทีมแพทย์ได้ทำการวินิฉัยต่อด้วยการตัดชิ้นส่วนเนื้อเยื่อผู้ป่วยไปตรวจสอบ ผลคือการระบุตัวจากหมาแล้วพบว่าป่วยเป็นมะเร็งปอดจริง 0.99% และเป็นมะเร็งเต้านมจริง 0.88% ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่แม่นยำถึง 0.99 % เลยทีเดียว . 👼สุนัขรับรู้ได้ว่าเจ้าของกำลังตั้งท้อง🤰 ด้วยความที่สุนัขเป็นสัตว์ที่ไวต่อกลิ่น เมื่อเจ้าของกำลังตั้งท้องพวกมันก็สามารถรับรู้ได้ เพราะฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนไปของมนุษย์เรา ทำให้กลิ่นเปลี่ยนไปด้วย นอกจากเรื่องกลิ่นสุนัขยังมีประสาทหูที่เหนือกว่ามนุษย์ถึง 20,000 เท่า ทำให้บางครั้งพวกมันได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจของทารกในครรภ์ และส่วนใหญ่พวกมันจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป สังเกตุได้ง่ายๆคือ น้องหมาจะคอยปกป้อง ตามติดเจ้าของมากขึ้น เพราะเป็นห่วงเจ้าของนั่นเอง ที่น้องหมามีประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นไวมากขนาดนี้ก็เพราะประสาทสัมผัสเรื่องการรับรู้กลิ่นของหมานั้นจะมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะไวต่อกลิ่นอาหารโดยเฉพาะ และอีกกลุ่มจะไวต่อฟีโรโมนจากร่างกายมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ พอเจ้าของมีกลิ่นที่เปลี่ยนไป หมาจะรับรู้ได้ทันที จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมน้องหมาถึงรับรู้ได้ว่าเจ้าของกำลังตั้งทั้งท้องนั่นเอง . 😊น้องหมารับรู้ได้ถึงความสุข 😄 กลุ่มนักวิจัยในเวียนนาได้ทำการทดสอบกับน้องหมาหลายตัว ด้วยการให้ดูภาพใบหน้ามนุษย์ แล้วก็พบว่าน้องหมาจะแยกแยะสีหน้ามนุษย์ได้ว่ากำลังโกรธ หรือกำลังมีความสุขอยู่ ผลการทดสอบนี้สามารถยืนยันได้เลยว่า “หมา” คือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์แรกที่สามารถระบุความแตกต่างของอารมณ์จากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นได้ นักวิจัยเพิ่มเติมอีกว่าจากการทดลองนั้นยังพบเรื่องน่าประทับใจอีกว่า หมาสามารถระบุอารมณ์ของมนุษย์ได้ทั้งคนที่มันรู้จักและคนแปลกหน้า และที่น่าทึ่งไปกว่านั้น! ถ้าลองปิดหน้าครึ่งบนบ้าง ครึ่งล่างบ้าง หมาก็ยังสามารถระบุอารมณ์ของมนุษย์ได้อีกด้วย ทั้งนี้นักวิจัยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาตอบโต้ของหมาในเชิงบวกและในเชิงลบ ปฏิกิริยาตอบรับเหล่านี้สามารถพบได้ทั้งในหมาที่ผ่านการฝึกและไม่เคยผ่านการฝึก จึงสามารถสรุปได้ว่าความสามารถนี้เป็นสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของหมา . 😞ถ้าเรากำลังเศร้า น้องหมาก็รับรู้ได้เช่นกัน! 😢 น้องหมาที่เติบโตเต็มที่แล้วจะมีความคิดในระดับเทียบเท่ากับทารก ถ้าพิจารณาในด้านของความสามารถทางจิตใจ (mental ability), ความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) หรือ คำศัพท์ต่าง ๆ จากการศึกษาเรื่องนี้ยังพบว่าหมามีประสาทสัมผัส ที่ทำให้สามารถตอบสนองต่ออารมณ์ของมนุษย์ได้แม้ว่าอาจจะยังไม่เข้าใจดีนักว่ามนุษย์กำลังรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น สมมติว่าเรากำลังรู้สึกหดหู่หมาก็จะพยายามเข้ามาปลอบเราทั้งที่เค้าก็ไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกเศร้ามันคืออะไร งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Animal Cognition ประจำมหาวิทยาลัยลอนดอน ได้ทำการพิสูจน์กับหมาจำนวน 18 ตัว ด้วยการสังเกตพฤติกรรมของหมาเวลาที่เห็นคนกำลังร้องไห้ กับอีกคนที่กำลังฮัมเพลงอย่างมีความสุข หมาหลายตัวจะสงสัยกับการฮัมเพลงของมนุษย์เพราะเป็นพฤติกรรมแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยและใคร่รู้ ส่วนปฏิกิริยาตอบสนองต่อการร้องไห้นั้น พบว่าหมา 15 ตัวจาก 18 ตัวจะเดินเข้าไปหาและปลอบเจ้าของตัวเองที่กำลังร้องไห้อยู่ สิ่งนี้สอดคล้องกับการที่สุนัขมีประสาทรับกลิ่นที่ดี จึงทำให้สุนัขสามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้จริง ไม่ใช่เพราะพวกมันอยากรู้อยากเห็น แต่การร้องไห้มีผลต่ออารมณ์ของสุนัข ทำให้พวกมันรู้สึกอยากเข้าไปทำให้เจ้าของอารมณ์ดีขึ้น . 🐕น้องหมาชอบช่วงเวลาดีๆ ที่อยู่กับเรา🤗 Gregory Barnes ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา ได้นำสุนัขไปเข้าเครื่อง fMRI เพื่อสแกนสมองของน้องหมา และเห็นได้ชัดว่าเมื่อน้องได้กลิ่นเจ้านายใกล้ๆสมองที่ควบคุมอารมณ์มีความสุขของน้องจะทำงานอย่างกะปรี้กะเปร่าทันที มีงานวิจัยล่าสุดได้ชี้ว่าสุนัขนั้นชอบที่จะใช้เวลาและแบ่งปันความรู้สึกต่างๆ ร่วมกับมนุษย์ โดยอาการนี้คล้ายคลึงกับอาการของมนุษย์เวลาเจอเพื่อนๆ หรือครอบครัวของตัวเองเป็นอย่างมาก เหมือนกับเวลาเราได้ไปเที่ยวสนุกๆ กับเพื่อนสนิทของเรานั่นแหละ เจ้าตูบก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ! . . เพราะฉะนั้นคำว่า ‘เจ้าตูบคือเพื่อนที่แสนดีที่สุดของมนุษย์’🐶💑คงไม่ใช่คำพูดเปรียบเปรยเฉยๆอีกแล้ว ซึ่งถ้าจะย้อนประวัติศาสตร์ดูก็จะเห็นได้เลยว่ามนุษย์กับน้องหมามีความเกี่ยวข้องและได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายพันปีแล้ว แต่ที่เราเห็นกันได้ชัดๆ ก็คือมิตรภาพที่น้องหมามีให้กันแบบไม่มีเงื่อนไข... #วันสุนัขโลกนี้ อย่าลืมหาเวลาว่างไปใช้กับน้องหมาที่บ้านกันด้วยนะ ! 💗 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #น้องหมา #เจ้าตูบ #วันสุนัขโลก #คนรักหมา #สัตว์เลี้ยง อ้างอิง https://www.petcitiz.info/dog-top/ https://mgronline.com/science/detail/9570000021552ฃ https://www.reuters.com/article/us-dogs-emotions-idUSKCN0VP1DH https://www.puplife.com/pages/dogs-understand-5-things-your-dog-knows-about-you

เมื่อโลกร้อนขึ้น ก็อาจเกิด ”ยุคแห้งโจรสลัด” ขึ้นอีกครั้ง ! 🏴☠️☠️

“เขาว่าฝน นั้นทำให้คนเหงา” ☔😿 ทำไมฝนตกแล้วทำให้เหงามากกว่าเดิม !? kyuk _________ แค่เห็นฝนกำลังโปรยลงมาหรือได้ยินเสียงฝนตกกระทบบนหลังคา ความรู้สึกที่สดชื่นสนุกสนานก็หายไปหมด เหลือแต่ความเหงาหงอยไว้ในใจ...💧☔ เคยสังเกตกันไหม? ว่าในวันที่อากาศร้อน เรามักจะรู้สึกหงุดหงิด วันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เราจะรู้สึกปลอดโปร่ง แต่วันที่ฝนตก เรามักรู้สึกเหงาหรือคิดถึงใครบางคนขึ้นมา เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน ส่งผลต่ออารมณ์ของเราไม่น้อยเลยทีเดียว😵💫... วันนี้ STeP อยากชวนทุกคนมาดูความเชื่อมโยงระหว่าง ‘ฝน’ กับ ‘อารมณ์’ ว่าทำไมเวลาฝนตกแล้วทำให้เรา #เหงา มากกว่าเดิม !? 🥲🙁 . . ☔สภาพอากาศส่งผลกับอารมณ์และความรู้สึก 🌩 นิโคลัส เกแก็ง (Nicholas Guéguen) นักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสที่วิจัยเกี่ยวกับสภาพอากาศส่งผลต่ออารมณ์ขิงมนุษย์อย่างไร ในปี 2017 อธิบายว่าเพราะปัจจัยของแสงอาทิตย์ในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน ทำให้การผลิตฮอร์โมนเซราโทนิน (Seratonin) ซึ่งสัมพันธ์กับการที่ร่ายกายได้สัมผัสแสงอาทิตย์นั้นลดน้อยถอยลง และเนื่องจากหนึ่งในหน้าที่ของฮอร์โมนเซราโทนินนั้นคือการปรับสมดุลอารมณ์ การหายไปของมันจึงส่งผลต่อความรู้สึกภายในของเรา โดยจะเรียกอาการเหล่านี้ว่า "โรคSeasonal Affective Depression, (SAD)"🙁 . #เซโรโทนิน (Serotonin) คือ ? 😤 เป็นสารที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก มีหน้าที่ควบคุม ความรู้สึกเจ็บปวด ความเบื่อหรืออยากอาหาร การนอนหลับ ความรู้สึกสุขสงบ และช่วยระงับความโกรธ ความก้าวร้าว ดังนั้น ถ้าร่างกายมีเซโรโทนินต่ำก็จะส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรม อาจทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หม่นหมอง หรือ เกิดอาการซึมเศร้าได้เลยทีเดียว . #SAD? 😭 โรค Seasonal Affective Depression, (SAD) คือ ภาวะเศร้าตามฤดูกาล เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง ที่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละปี โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเหล่านี้ในฤดูหนาวและฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน อาจทำให้รู้สึก ซึมเศร้า เหนื่อยล้า และอยากแยกตัวเองจากสังคม แม้ว่าอาการต่างๆ มักจะหายไปภายในไม่กี่เดือน แต่ก็อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความรู้สึกและการทำหน้าที่ต่างๆ ได้ ทั้งนี้ หากอารมณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร แต่ถ้าเมื่อไรอารมณ์เหล่านี้ เปลี่ยนไปในทางแย่ลง จนส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นั่นอาจหมายความว่า เรากำลังเผชิญอยู่กับ “ภาวะซึมเศร้าตามฤดูกาล” หรือ “ภาวะเครียดจากสภาพอากาศ” นั่นเอง . #ความทรงจำในสายฝน 💘 ผลงานศึกษาระหว่างสภาพอากาศกับอารมณ์ชี้ให้เห็นว่า วันที่อากาศไม่ดีนั้นเชื่อมโยงกับอารมณ์โดยทั่วไปที่ขุ่นมัว เศร้าหมองและเงียบเหงามากกว่าวันที่ท้องฟ้าสดใส ผลวิจัยพบว่า วันที่ใจเราขุ่นมัว จะเป็นช่วงที่เราจะมองออกไปข้างนอกน้อยลงและจะอยู่กับตัวเองมากขึ้น ทำให้เราคิดอะไรได้ลึกซึ้งขึ้น จดจำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น จนเกิดเป็นความเศร้า เหงาซึมจากสภาพอากาศและสภาพอารมณ์ภายในนั่นเอง มีงานศึกษาระบุว่าเราอาจจะมีแนวโน้มจดจำได้ดีในวันที่อากาศแย่หรือฝนตกมากกว่าวันที่อากาศดี ในปี ค.ศ.2009 มีการศึกษาตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยา มีชื่อการทดลองว่า ‘อากาศที่ไม่ดีช่วยเรื่องความทรงจำได้ไหม’ สปอยล์—ผลพบว่า ช่วยได้ 🧠 คือมีความเชื่อมโยงกัน ! งานศึกษาดังกล่าวใช้การทดลองในวันที่อากาศดีและวันที่ฝนตก โดยผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างเข้าไปในร้านค้าและจัดวางวัตถุไว้ 10 อย่างบริเวณจุดจ่ายเงินของร้าน เป็นของแปลกๆ หน่อยที่มักจะไม่อยู่ในร้าน เช่น ของเล่น กล่องไม้ขีด หรือกระปุกหมู งานศึกษาพบว่าผู้คนที่อยู่ภายใต้อากาศขมุกขมัวมีแนวโน้มจะจดจำวัตถุที่ผ่านตาเหล่านั้นได้ดีกว่า บ้างก็สามารถแยกแยะประเภทหรือรายละเอียดได้ดีกว่าด้วย . #เพราะอากาศเศร้า เสียงความคิดจึงดังขึ้น! 🧠 นักวิจัยให้ทฤษฎีความสัมพันธ์ของอารมณ์ อากาศ และจิตใจอันซับซ้อนของอมนุษย์ จากงานศึกษากระปุกหมูและของเล่นในร้านขายของชำ โดยทั่วไปแล้วอากาศที่ไม่ดีอาจทำให้หัวใจเรารู้สึกหนักอึ้งขึ้น เกิดอารมณ์เชิงลบได้ง่ายขึ้น คือเรามักจะกลับเข้าไปสู่ความคิดของเราเอง ทบทวนอดีต และได้ยินเสียงในหัวตัวเองดังขึ้นมา มากกว่าวันที่ฟ้าสดใส จนส่งผลให้อารมณ์ของเรานั่นหม่นหมอง เศร้ากว่าปกติ . #ฝนตกทำให้คิดถึง? 💓 ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล เมื่อปี 2012 ยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่า เมื่อฝนตกเราจะนึกถึงคนใกล้ตัวและคนที่รักมากขึ้น โดยการทดลองเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ในวันฝนตก กลุ่มผู้ทดลองมีอัตราการใช้โทรศัพท์โทรหาเพื่อนและคนในครอบครัว มากขึ้นกว่าปกติ แถมการโทรแต่ละครั้งก็ใช้เวลายาวนาน ซึ่งนั่นอาจแปลได้ว่า สภาพอากาศที่ฝนตกพรำ ๆ ต่อให้ไม่เอื้อให้เราทำกิจกรรมข้างนอก แต่ก็ยังสามารถติดต่อหาคนที่รักได้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น เมื่อเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งเร้าจากภายนอกลดลง ส่งผลให้เราอยู่กับความคิดของตัวเองมากขึ้น ก็อาจจะทำให้เรารับรู้ความรู้สึกของตนเองมากขึ้น อ่อนไหวมากขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรู้สึกคิดถึงคนที่รักมากขึ้นนั้นเอง . #ฝนตกแล้วขี้เกียจมากกว่าเดิม? 😪 ในเวลาที่ฝนตกหรือช่วงที่มีอากาศเย็นลงนั้น จะทำให้ร่างกายมนุษย์ตอบสนองต่ออุณหภูมิที่ลดต่ำลง ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดต่ำลง ร่างกายเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้รู้สึกว่าตัวเองขี้เกียจ แต่ในช่วงฤดูฝน ที่ฝนมักตกต่อเนื่องหลายวันติดกันทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มอยู่ตลอดระยะเวลาที่มีแดดลดน้อยลง ร่างกายก็เลยผลิตเซโรโทนินได้น้อยลง จึงส่งผลให้เราเกิดความรู้สึกเหงาๆเศร้าๆได้นั่นเอง . . 🤔 วิธีรับมือกับความเหงาเศร้าในวันที่ฝนตก ✨☔ 💡เพิ่มแสงไฟให้สภาพแวดล้อม เมื่อแสงแดดจากธรรมชาติไม่เพียงพอและลมฝนที่รุนแรงอาจทำให้เราต้องปิดหน้าต่างมิดชิดอยู่ในบ้าน ลองเปิดไฟในบ้านให้สว่างมากขึ้น หรือจะเพิ่มโคมไฟเล็กๆ ข้างโต๊ะหรือเตียง ไฟเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเซโรโทนินที่ทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นได้ 💪ออกกำลังกายในบ้าน การออกกำลังกายเบาๆ ภายในบ้าน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ในบ้านที่ช่วยให้ร่างกายได้ขยับเคลื่อนไหว อย่างการทำความสะอาดบ้าน การเล่นกับสัตว์เลี้ยง เต้นรำ ฯลฯ จะช่วยให้ร่างกายสามารถหลั่งอะดรีนาลีน (Adrenaline) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและตื่นตัว 🛌ให้ความสำคัญกับการนอน ช่วงที่ฝนตกอาจทำให้เรารู้สึกอยากนอนตลอดเวลา ดังนั้นจึงจำเป็นมากที่จะให้ความสำคัญกับเวลานอนของตัวเอง โดยพยายามฝืนไม่นอนกลางวันในช่วงฝนตก และนอนหลับตอนกลางคืนให้เป็นเวลาตามปกติ เพื่อที่จะไม่ให้ร่างกายชินกับการนอนทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ . . เพราะสุดท้ายแล้ว ‘ฝน’ ก็คงตกอีกไม่นาน และแสงแดดอันสดใสก็จะกลับมาตามเดิม...😊 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Rainingday #ฝน #ฝนตก #เหงา #ฝนทำให้คนเหงา #หน้าฝน อ้างอิงข้อมูล : theguardian.com researchgate.net themarginalian.org Can Rain Cause Depression? Plus, 4 Ways to Relieve Those Rainy Day Blues. https://bit.ly/3BIWxik

ในวันที่ “กลางวัน” ยาวนานเท่า ”กลางคืน” !? 🌞🌙 __________ เคยสงสัยกันหรือไม่❗ ว่าในแต่ละวันที่โลกกำลังหมุนไปใน 24 ชั่วโมงนั้น ทำไมต้องมีการแบ่งช่วงเวลาเป็นกลางวันและกลางคืนด้วย? แล้วปกติ ช่วงเวลากลางวันกับกลางคืน ห่างกันหรือเท่ากันรึปล่าว? ... หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าวันที่ 23 กันยายนของทุกๆปีนั้น เป็น “วันศารทวิษุวัต” 🔅 หรือเป็นวันที่จะทำให้เวลากลางวันยาวนานเท่ากับตอนกลางคืน 🌙 แถมยังเป็นวันที่ประเทศทางซีกโลกเหนือจะย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง และซีกโลกใต้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย มาทำความรู้จักกับปรากฏการณ์ครั้งนี้กันเถอะ ! 🤩✨ 👇 . . #วันศารทวิษุวัต (Autumnal Equinox) 🔅 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT ให้ข้อมูลว่าวันศารทวิษุวัต จะเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกแบบพอดิบพอดี ซึ่งในประเทศไทยดวงอาทิตย์จะขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เวลาประมาณ 06.07 น. และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เวลาประมาณ 18.13 น. ซึ่งแต่ละปีจะมีวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดีเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น !! ก็คือทุกๆวันที่ 20 หรือ 21 มีนาคมและวันที่ 22 หรือ 23 กันยายนซึ่งเป็น #วันศารทวิษุวัต 🔅 นี้นั่นเอง ลักษณะสำคัญ คือ ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี ส่งผลให้เวลากลางวันเท่ากับกลางคืน! 🌞🌙 และหลังจากวันนี้ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนลงทางใต้เรื่อย ๆ จนถึงช่วงวันที่ 22 ธันวาคม นั่นเอง . #การเกิดกลางวัน-กลางคืน 🌞🌙 กลางวันกลางคืนเกิดขึ้นจากการหมุนรอบตัวเองของโลก 🌍 จากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก โดยด้านที่หันรับแสงอาทิตย์จะเกิดเป็น “กลางวัน” และด้านตรงข้ามที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์นั้นเป็น “กลางคืน” โลกของเราใช้เวลา 1 ปี (หนือ 365วัน) ในการโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งครั้ง ซึ่งจะแบ่งเวลาหนึ่งปี ออกเป็น 12 เดือน ๆ ละ 30 หรือ31 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับเดือนทางจันทรคติ (ซึ่งดวงจันทร์โคจรรอบโลกหนึ่งรอบใช้เวลาประมาณ 30 วัน) เมื่อโลกของเราจึงหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบ จะใช้เวลา 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง ทำให้ภายใน 1 วัน จะมีทั้งเวลากลางวันและกลางคืนนั่นเอง . #ดวงอาทิตย์ขึ้น-ลงยังไง? 🌅🌇 🌞ดวงอาทิตย์จะปรากฏบนท้องฟ้าวันละครั้งทุกวัน เนื่องจากการหมุนรอบตัวเองของโลก โดยดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก แต่ละวันดวงอาทิตย์จะปรากฏในตำแหน่งต่างกัน เปลี่ยนตำแหน่งไปประมาณวันละ 1 องศา เวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกจะแตกต่างกัน ขึ้นกับสถานที่บนโลกที่เราอยู่นั่นเอง ⛅ในช่วงกลางวัน ท้องฟ้าจะมีสีฟ้าจากการกระเจิงแสงอาทิตย์โดยอนุภาคขนาดเล็กที่อยู่ในบรรยากาศโลก และแสงสีฟ้าจะถูกกระเจิงได้มากกว่าแสงสีแดง เพราะแสงสีฟ้ามีความยาวคลื่นสั้นกว่า ซึ่งการกระเจิงแสงนี้ สามารถเกิดขึ้นกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในทุกช่วงความยาวคลื่น เรียกว่า “การกระเจิงของเรย์ลี” (Rayleigh Scattering) แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ท้องฟ้าจะออกสีแดงเพราะแสงอาทิตย์มีระยะทางที่เคลื่อนผ่านชั้นบรรยากาศโลกมากกว่า แล้วแสงสีฟ้ากระเจิงออกไปมากจนเราไม่เห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า แสงส่วนที่มีความยาวคลื่นมากกว่า (แดงกว่า) จะกระเจิงน้อยกว่าจึงปรากฏเข้มกว่า 🌙ในเวลากลางคืนในช่วงเวลาโพล้เพล้ก่อนท้องฟ้าจะมืดสนิทหลังจากดวงอาทิตย์ตก และเวลาเช้ามืดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นนั้น จะมีแสงสว่างบนท้องฟ้าที่ทางดาราศาสตร์และการเดินเรือจะเรียกว่า “แสงสนธยาหรือแสงเงินแสงทอง” (twilight) เป็นแสงที่เกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตย์ในบรรยากาศโลก ยิ่งดวงอาทิตย์อยู่ต่ำกว่าขอบฟ้ามากเท่าใด แสงที่กระเจิงจากบรรยากาศชั้นบนลงมายังชั้นล่างก็ยิ่งน้อยลงมากเท่านั้น ทำให้ท้องฟ้ายิ่งมืดมากขึ้น . #ทำไมถึงมีฤดูกาล ⛄🥵☔ ฤดูกาลเกิดจากแกนโลกเอียงทำมุม 23.5 องศา กับแนวตั้งฉากกับระนาบโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกได้รับแสงอาทิตย์ในปริมาณไม่เท่ากัน ส่งผลให้มีอุณภูมิต่างกัน รวมถึงระยะเวลากลางวันและกลางคืนก็ต่างกันด้วย เหตุนี้ทำให้เกิด #ฤดูกาล ขึ้นบนโลกนั่นเอง ซึ่งถ้าเราไปอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นที่แกนไม่มีความเอียงเลย เราก็อาจพบว่าดาวดวงนั้นไม่มีฤดูกาล และแสงอาทิตย์ที่ตกลงที่หนึ่งบนดาวเคราะห์ดวงนั้นจะเหมือนเดิมตลอดทั้งปี ก็คือ ไม่มีกลางวัน-กลางคืน อาจมีแค่เฉพาะกลางวันหรือกลางคืนเท่านั้น ! แต่บนโลกของเรา ที่มีแกนโลกเอียงจึงทำให้ในบางช่วง ระหว่างโลกโคจร โลกก็จะเอียงหันเอาด้านซีกเหนือของตัวเองออกจากดวงอาทิตย์ และซีกใต้หันเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ จึงสังเกตได้ว่าในฤดูร้อนเวลากลางวันจะยาวกว่ากลางคืน ดวงอาทิตย์จะขึ้นเร็วและตกช้า แตกต่างกับฤดูหนาวเวลากลางคืนจะยาวนานกว่ากลางวัน ดวงอาทิตย์จะขึ้นช้าและตกเร็วนั่นเอง . #ถ้าโลกเราไม่มีกลางวัน-กลางคืน ล่ะ !? ⚠️🌍 หากลองนึกภาพว่าวันหนึ่ง โลกของเรานั้นมืดสนิท มองไม่เห็นแสงสว่างในตอนกลางคืนและไม่มีแสงอาทิตย์ในตอนกลางวัน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? .. 🌱สิ่งมีชีวิตบนโลกจะเปลี่ยนไป พืชส่วนใหญ่อาศัยแสงแดดในการสังเคราะห์แสง หากไม่มีแสงแดด พืชจะเติบโตได้ยาก 🐒สัตว์ที่อาศัยพืชเป็นอาหารก็ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ห่วงโซ่อาหารจะหยุดชะงัก 🥶ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์ โลกจะเย็นลงเร็วมาก อุณหภูมิของโลกจะลดลง ทำให้มนุษย์และสัตว์มีชีวิตอยู่รอดได้ยาก 🌍 ภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนไป ไม่มีการหมุนเวียนของบรรยากาศ ไม่มีกระแสน้ำในมหาสมุทร และไม่มีรูปแบบสภาพอากาศ 🔆 ขาดแหล่งพลังงาน การผลิตไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม 🌑 และโลกก็คงจะมืดสนิท ยากต่อการใช้ชีวิต . แล้ววันที่ “กลางวัน” 🌞ยาวเท่ากับ “กลางคืน” 🌛 ส่งผลยังไงกับเราบ้าง? เมื่อดวงอาทิตย์ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกได้รับแสงอาทิตย์ได้ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้มีอุณภูมิต่างกัน รวมถึงมีระยะเวลากลางวันและกลางคืนที่ต่างกันด้วย🌡 ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของนาฬิกาแดด ในส่วนที่ประเทศไทยซึ่งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรนั้น 🥵เราจะรับรู้การเปลี่ยนแปลงแค่ดวงอาทิตย์ขึ้นช้าและเร็ว (แต่ก็ไม่มากนัก) และอาจไม่ส่งผลถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปด้วย แต่ในด้านของการเพาะปลูกเราจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง เนื่องจากตำแหน่งดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าส่งผลกับพืชและการเพาะปลูกมาก เช่น ในฤดูเกี่ยวข้าวช่วงของฤดูหนาว ดวงอาทิตย์จะอ้อมไปทางใต้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เพาะปลูก ที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นเร็ว พืชจะได้รับแสงมากที่สุดนั่นเอง 🪴 ⚠️แต่ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดนั้น จะส่งผลกับคนที่อาศัยอยู่ทางซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้อย่างชัดเจนที่สุด!🥶❄ เพราะเมื่อเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี ในฤดูร้อนดวงอาทิตย์จะขึ้นเร็ว ตี 4 ก็สว่างแล้ว แต่ 2 ทุ่มกลับยังไม่มืดเลย พอหน้าหนาว 8 โมงก็ยังไม่สว่าง แต่พอ 4 โมงเย็นดวงอาทิตย์กลับตกแล้ว 🥴ทำให้ต้องมีการปรับเวลา ปรับการใช้ชีวิตใหม่ เพราะมีผลกับการดำรงชีวิตอยู่และการเพาะปลูกเป็นอย่างมาก . . อย่างไรก็ตาม... แม้วันนี้ จะเป็นวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนต่างก็มีเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันเท่าๆกัน! และไม่แน่ว่า วันนี้ อาจเป็นวันที่ทุกคนต่างก็จะได้ใช้เวลาอย่างเท่าเทียมที่สุดแล้วก็ว่าได้นะ ... 🌝🌚 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Astronomy #Cosmology #World #Global #กลางวัน #กลางคืน #ฤดูกาล #โลก #อวกาศ #ดาราศาสตร์ #จักรวาล #วิทยาศาสตร์ อ้างอิงข้อมูล : www.narit.or.th https://www.aksorn.com/qrcode/62041 https://www.scimath.org/article-science/item/10989-2019-10-25-07-38-42

“ไทเทเนียม” 🪨 วัสดุแห่งวิศวกรรมอวกาศ ส่วนประกอบใหม่บน iPhone! 🚀 ________ หลังจากทาง Apple ได้เปิดตัว iPhone15 🍎 กับซีรีส์ใหม่ที่มาพร้อมกับบอดี้ #ไทเทเนียม ซึ่งจะช่วยให้น้ำหนักโทรศัพท์มือถือเบาที่สุดเท่าที่บริษัทเคยผลิตมา ก็ได้ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ไทเทเนียม’ เป็นที่ถูกจับตามองมากขึ้น! แล้วเคยสงสัยกันบ้างรึปล่าว❗ว่าทำไมวัสดุที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศถึงมาเป็นส่วนประกอบบนไอโฟนรุ่นล่าสุดตัวนี้ได้! แล้วไทเทเนียมคืออะไร? ทำไมไทเทเนียมจึงเป็นวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวิศวกรรมการบิน? มันดียังไง? ไปหาคำตอบกัน 🚀 . . #ไทเทเนียม (Titanium) 🪨 เป็นธาตุเคมี⚠ ที่มีสัญลักษณ์เป็น Ti มีเลขอะตอมเท่ากับ 22 มีคุณสมบัติเป็นโลหะทรานซิชันสีเทาเงิน มีความหนาแน่นต่ำ แข็งแรงทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดีและมีจุดหลอมเหลวที่สูงถึง 1,668 °C จึงทนต่ออุณหภูมิและสภาพแวดล้อมอันสุดขั้วได้ดี มีความแข็งแรงมากและจัดว่าเป็น หนึ่งในแร่ธาตุที่มีความแข็งแรงที่สุดบนโลก รองจาก อลูมิเนียม เหล็กและแมกนีเซียม มีความแข็งกว่าอลูมิเนียม 2 เท่า มีน้ำหนักเบากว่าเหล็ก 1 เท่า ไม่ทำให้เกิดสนิม ไม่เป็นสื่อแม่เหล็ก สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่และมีความยืดหยุ่นสูง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โลหะผสมไทเทเนียม (titanium alloy) เป็นโลหะที่มีความแข็งแรงที่สูงที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน . #ไทเทเนียมมาจากไหน❓ แร่ธาตุไทเทเนียม 🔍ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1791 ในเหมืองแร่เหมืองคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ โดยวิลเลียม เกรเกอร์ (William Gregor) นักบวชชาวอังกฤษ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้มีการตั้งชื่อ จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งโดย มาร์ทิน ไฮน์ริช คลาพรอท (Martin Heinrich Klaproth) นักเคมีชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงในปี 1795 และได้เสนอชื่อ'Titans' หรือไททันส์ จากตำนานเทพเจ้ากรีกโบราณ ที่เปรียบเหมือนการค้นพบบุตรคนแรกของโลกกับการค้นพบสารโลหะครั้งแรกของเขา 👨🔬 'Titans' (ไททันส์) ถูกนำมาแปลงชื่อเป็น ไททาเนียม หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า “ไทเทเนียม” 🪨 นั่นเอง! ช่วงกลางทศวรรษปี 1950 มีการเพิ่มขึ้นของวัสดุไทเทเนียมมากขึ้น จึงเริ่มมีการผลิตเหล็กไทเทเนียมเพื่อพัฒนามาใช้ในทางอุตสาหกรรมจนถึงปัจจุบัน . #ไทเทเนียมอยู่ใน 5 อันดับโลหะที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ! 💪🌍 📌อับดับ1 “ทังสแตน” ทังสแตนเป็นแร่โลหะสีขาวเทาที่แข็งแรงที่สุดในโลก เป็นโลหะที่มีน้ำหนักมาก มีความหนาและคงทน 📌อันดับ2 “เหล็กกล้า”เหล็กกล้ามีความคงทนแข็งแรงมาก นำมาใช้งานอย่างแพร่หลายในการสร้างวัสดุหลอมโลหะ 📌อันดับ3 “โครเมียม” โครเมียมเป็นโลหะที่มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูงมากๆ สามารถทนต่อความร้อนได้มาก 📌อันดับ4 “ไทเทเนียม” ไทเทเนียมเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงแต่น้ำหนักเบา และจะมีประโยชน์ได้มากขึ้นเมื่อนำมาผสมกับเหล็กและอลูมิเนียม เพื่อการใช้งานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📌อันดับ5 “เหล็ก” เหล็กธรรมดาเป็นวัสดุที่มีราคาถูกและหาได้ง่ายกว่าแร่ธาตุชนิดอื่นๆ จึงนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน . #ไทเทเนียมใช้ทำอะไรได้บ้าง❓ โดยปกติแล้ว ไทเทเนียมจะถูกใช้ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศเพื่อผลิตระบบล้อสำหรับลงจอด ถูกใช้ในการผลิตเรือและเรือดำน้ำ รวมถึงเป็นส่วนประกอบสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นหลัก แต่นอกเหนือจากนั้นมาดูกันว่า ไทเทเนียมใช้ทำอะไรกันได้บ้าง ? 🤔👇 🚀ยานอวกาศ โครงสร้างหลักของยานอวกาศทำจากโลหะผสมไททาเนียม ที่มีความแข็งแรงและต้านทานต่อความร้อนสูง มีประโยชน์กับการปรับแรงกันในห้องโดยสารบนอวกาศ 🛫เครื่องบิน โลหะผสมไทเทเนียมเป็นอีกหนึ่งวัสดุโครงสร้างน้ำหนักเบาใหม่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน เป็นอีกหนึ่งวัสดุโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาและมีความแข็งสูงหลังจากเหล็กกล้า เพื่อความปลอดภัยที่ได้รับความเสียหายและความทนทานต่อความเสียหายของเครื่องบิน 🪖ผลิตอาวุธและอุปกรณ์ทางทหาร เช่น ชิ้นส่วนของเครื่องบินเครื่องไอพ่น เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ อุปกรณ์ป้องกันกระสุน แผ่นเกราะกันกระสุน ชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องกล ชิ้นส่วนของจรวดนำวิถีและยานอวกาศ 🩺ใช้ผลิตเป็นชิ้นส่วนทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ ข้อเข่าเทียม พัฒนาชิ้นส่วนอวัยวะเทียม นอกจากนี้ ใช้สำหรับการเปลี่ยนข้อต่อและการปลูกรากฟันเทียม เนื่องจากมีความหนาแน่นใกล้เคียงกับกระดูกมนุษย์ 🏭อุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานผลิต เช่น โรงงานผลิตคลอรีน โดยใช้เป็นองค์ประกอบของปั้ม ตัวแลกเปลี่ยนความร้อน ฯลฯ 🎨อุตสาหกรรมสี เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ให้สารสีขาว หักเหช่วงแสงที่ตามนุษย์สามารถมองเห็รได้ ทนต่อแสงและความร้อน สามารถยึดเกาะและเคลือบติดผิวง่าย เช่น สีทาบ้าน สีสำหรับงานพิมพ์งานศิลปะ 🪞ใช้เคลือบผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น พลาสติก แก้ว กระจก สุขภัณฑ์ เซรามิก ด้วยคุณสมบัติที่สามารถยึดเกาะ และเคลือบติดผิวได้ง่าย มีความทนทานต่อการกัดกร่อน รวมถึงใช้เคลือบฟิล์ม/กระจกกรองแสง เนื่องจากสามารถเปลี่ยนสีได้เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสง ❄การนำมาเคลือบบนแผ่นฟอกอากาศ/แผ่นอากาศ กำจัดกลิ่น เนื่องจากสามารถกำจัดโมเลกุลของสารอินทรีย์ในอากาศได้ดี 🌞ผลิตกระแสไฟฟ้า เช่น การผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ จะใช้ไททาเนียมไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบเพื่อเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้า ⚡อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเก็บประจุไฟฟ้าในอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ด้วยคุณสมบัติมีค่าคงที่และค่าความต้านทานไฟฟ้าสูง 💄เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ในบางยี่ห้อจะมีการใช้ไททาเนียมไดออกไซน์เป็นส่วนผสม เพื่อสะท้อนและป้องกันรังสียูวี โดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว เช่น ครีมกันแดด ครีมบำรุงหรือแป้งรองพื้น 💍เป็นเครื่องประดับ สร้อย แหวน รวมถึงกรอบแว่นตาที่คนหันมาใช้กันในปัจจุบัน . #ไทเทเทียมเกรด 5 บนไอโฟน15 !? 📱✨ 💢#Titanium Grade 5 (ไทเทเนียมเกรด 5) หรือ Ti-6Al-4V เป็นโลหะผสมไทเทเนียมที่ประกอบด้วยไทเทเนียม อลูมิเนียม และ วาเนเดียม อีกเล็กน้อย มีคุณสมบัติในการต้านทานอุณหภูมิสูงสุดถึง 300°C (570°F) 🔥, ต้านทานต่อการกัดกร่อน เป็นวัสดุที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ การแข่งรถ และการผลิตขาเทียม 🚀🏎 โครงสร้างที่สร้างจากโลหะไทเทเนียมจะมีน้ำหนักเบาที่สุดในหมู่โลหะทั้งหมด ทนทานต่อการกัดกร่อนและอุณหภูมิสุดขั้วจึงทำให้ไทเทเนียมเป็นวัสดุชั้นดีของวิศวกรรมการบินอวกาศ และเนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน แต่มีน้ำหนักที่เบากว่าอลูมิเนียมที่ไอโฟนใช้มาตลอด อีกทั้งยังเป็นโลหะที่สามารถใช้ในการรีไซเคิลได้สูงอีกด้วย ทำให้ครั้งนี้ Apple นำไทเทเนียมมาใช้เป็นส่วนประกอบใหม่บนกรอบตัวเครื่องไอโฟนนั่นเอง!! ♻🌍 . #iPhone รุ่นเฟรมไทเทเนียมนี้ดียังไง? 🍎 💪 มีความแข็งแรงและทนทานกว่าสแตนเลสและอลูมิเนียม ⏬ มีน้ำหนักที่เบาลงจากเดิมถึง 19 กรัม 👍 ทนต่อการสึกกร่อน ไม่ลอกหรือถลอกง่าย ทั้งนี้ ไทเทเนียมเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงพอๆ กับเหล็ก แต่น้ำหนักเบากว่าถึง 45% แต่กระบวนการสกัดไทเทเนียมค่อนข้างยุ่งยากจึงมีราคาค่อนข้างแพง(มาก) เมื่อเปรียบเทียบกับโลหะอื่น ๆ รวมถึงการใช้งานที่ค่อนข้างจำเพาะ ทำให้เจ้าไอโฟน15 เฟรมไทเทเนียมตัวนี้มีราคาที่สูงมากนั่นเอง!! 💸🤑 . #แต่ในข้อดีก็มีข้อเสีย❗ 🤑ไทเทเนียมมีต้นทุนที่สูงมาก ทำให้มีราคาแพง (มาก) 👨🏭กระบวนการสกัดไทเทเนียมค่อนข้างยุ่งยากและอันตราย 🏭ไทเทเนียมอาจมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการผลิตวัสดุ การขนส่ง และการก่อสร้าง 🔥ไทเทเนียมนั้นมีการยึดเกาะที่ดีมีความเสถียร อาจทำให้ย่อยสลายไม่ง่ายนัก ☢ ไทเทเนียมออกไซด์ถือเป็นสารประกอบที่เป็นพิษ หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป . . โลกของเรานั้นมีแร่ธาตุอยู่อีกมากมายหลายชนิด ถูกค้นพบและพัฒนามาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบัน! ไทเทเนียมก็ได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายและได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ไทเทเนียมยังเป็นวัตถุที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของมมุษย์เรา ตลอดจน iPhone15📱 ที่กำลังเป็นที่นิยมกันอยู่ในตอนนี้ ใครจะถอยมาสักเครื่องก็ได้นะ 🪨🌍 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Titanium #iPhone15 #Apple #ไทเทเนียม #ไอโฟน15 #อวกาศ #แร่ธาตุ อ้างอิงข้อมูล : https://blog.bnn.in.th/new-iphone-titanium/ https://www.posttoday.com/international-news/699467 http://th.1994rmd.com/info/what-is-a-titanium-iron-what-are-the-developm-37009069.html

ปริศนา❓🔎 “ทวีปซีแลนเดีย” ที่รอคอยการค้นพบกว่า 375 ปี !! 🗺🌏 _____________ “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น❗ทวีปนี้ยังคงเป็นปริศนาเช่นเคย ความลับของมันถูกปกป้องอย่างหนาแน่นภายใต้น้ำลึก 6,560 ฟุต มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? จมอยู่ใต้น้ำนานเท่าไหร่? นี่เป็นเรื่องที่เราต้องรอการค้นพบ ซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้เห็นมันจริงๆ....” เราต่างคุ้นเคยกับตำราเรียนในหนังสือ📖 ที่บอกเราตลอดว่า ‘บนโลกนี้มีทวีปอยู่ทั้งหมด 7 ทวีป’ แต่เมื่อโลกใต้น้ำไม่ได้มีอยู่แค่ในนิยายอีกต่อไป เพราะทวีปในตำนานที่เคยจมอยู่ใต้มหาสมุทรนั้น ได้ถูกค้นพบขึ้นและกำลังจะกลายเป็น #ทวีปที่8 ของโลก❗และทวีปนั้นมีชื่อเรียกว่า “#ซีแลนเดีย (Zealandia)” 🌏😱👇 . . #ทวีป🌏 ทวีป คือ ผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันบนพื้นโลก มีพื้นกว้างใหญ่โดยไม่รวมพื้นที่ที่จมอยู่ใต้น้ำและมีเขตแดนเด่นชัดทางภูมิศาสตร์ ซึ่งจะเรียกกันว่า “ยูเรเชีย” 🌐 ในทางภูมิศาสตร์โลกของเรามีทวีปอยู่ทั้งหมด 7 ทวีป คือ แอฟริกา ยุโรป เอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอนตาร์กติกาและออสเตรเลีย ก่อนหน้านี้ทวีปซีแลนเดียจัดอยู่ในประเภททวีปที่จมอยู่ใต้น้ำจึงเป็นทวีปที่ยังไม่ได้มีการค้นพบแต่อย่างใดนั่นเอง🗺🌊 . #ซีแลนเดีย? 🌏 ซีแลนเดีย (Zealandia) หรือชื่อในภาษาเมารีเรียกกันว่า ‘เตรีอูอามาวอี’ เคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปโบราณที่มีชื่อว่า ‘กอนด์วานา’ (Gondwana) ก่อตัวเมื่อราว 550 ล้านปีที่แล้ว เป็นมหาทวีปที่รวมแผ่นดินผืนต่างๆ ในซีกโลกใต้เอาไว้ทั้งหมด จากนั้นเมื่อ 105 ล้านปีที่แล้ว แผ่นเปลือกโลกสมุทรทางตะวันออกของซีแลนเดียก็เริ่มมุดตัวเข้าด้านใต้แผ่นทวีปก่อให้เกิดแรงกดดันจนแผ่นทวีปซีแลนเดียแยกตัวออกจากกันและท้ายที่สุดก็จมลงไปอยู่ใต้มหาสมุทรนั่นเอง! . #มหาทวีปกอนด์วานา (Gondwana) 🗺 กอร์ดวานา (Gondwana) เป็นมหาทวีปโบราณในสมัย 500 ล้านปีก่อน มีพื้นที่ประมาณ 101 ล้านตารางเมตร มีสภาพอากาศที่อบอุ่นและเป็นที่อยู่อาศัยของพืชสัตว์นานาชนิด รวมถึงสัตว์ใหญ่จาก #ยุคจูราสสิค 🦕 ซึ่งคาดว่าตอนนี้จะยังมีเศษซากฟอสซิลอยู่มากมายในชั้นหินของทวีป . #ซีแลนเดียอยู่ตรงไหน? 📌🌏 ในอดีต ซีแลนเดียเคยเป็นพื้นที่อยู่รวมกับแอนตาร์กติกา ออสเตรเลียและทวีปทางตอนใต้ 🌏 ก่อนที่จะแยกออกและจมน้ำหายไปในที่สุด มีขนาดเกือบ 5 ล้านตารางกิโลเมตร หรือประมาณครึ่งหนึ่งของทวีปออสเตรเลีย ปัจจุบัน แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ (94%) จะยังจมอยู่ใต้มหาสมุทร🌊 ที่ลึกประมาณ 1,000 เมตร มีเพียง 6% เท่านั้นที่อยู่เหนือน้ำให้เราได้เห็น โดยจะมีเกาะเล็กๆ จำนวนหนึ่งและเกาะหลักๆอยู่ 3 เกาะเท่านั้นที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ 🏝 ได้แก่ เกาะเหนือและเกาะใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ รวมถึงเกาะนิวแคลิโดเนีย ซึ่งคาดว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปที่อยู่เหนือน้ำมาก่อน . #ทวีปในตำนาน กับการค้นหากว่า375ปี! 🔎🚤 เรื่องนี้เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขาอยู่นาน เพราะนักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาค้นพบนานถึง #375ปี !! เพราะหลังมีการค้นพบประเทศนิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกของโลก ในปี 1642 โดย อาเบล แทสมัน (Abel Tasman) กะลาสีเรือชาวดัตช์ ทำให้นักสำรวจหลายๆคนต่างก็มีการตั้งข้อสงสัยว่า อาจมีแผ่นดินใหญ่หรือมีทวีปอีกหนึ่งทวีป ซ่อนอยู่ภายใต้เกาะนิวซีแลนด์นั่นเอง 🏝️🗿 ปี1895 เซอร์ เจมส์ เฮกเตอร์ (Sir James Hector) นักธรรมชาติวิทยาชาวสก็อตได้ร่วมเดินทางสำรวจเกาะต่าง ๆ นอกชายฝั่งตอนใต้ของนิวซีแลนด์🧭🚤เจมส์สรุปว่า นิวซีแลนด์ เป็นเศษของภูเขาที่ก่อตัวเป็นยอดของภาคพื้นทวีปอันยิ่งใหญ่ในตำนานต่างหาก และทวีปแห่งนั้น ตอนนี้กำลังจมอยู่ใต้น้ำ ดังนั้น การค้นพบซีแลนเดียจึงยังไม่เกิดขึ้น และใช้เวลายาวนานถึง 375 ปี กว่าจะถูกพบขึ้นในปัจจุบัน! . #แล้วนักวิทยาศาสตร์รู้ได้ยังไงว่ามีแผ่นทวีปนี้อยู่? 🗺️🧐 🛰การวิเคราะห์สภาพทางภูมิศาสตร์จากพื้นผิวโลก ในแต่ละบริเวณที่มีความโน้มถ่วงต่างกัน 🌚การค้นพบหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่มโหฬารบริเวณชายฝั่งประเทศเม็กซิโก ทำให้เกิดกาiสำรวจพื้นที่ใต้มหาสมุทร 📡การใช้ดาวเทียมทำแผนที่ความโน้มถ่วงทั่วโลก ทำให้ค้นพบแผ่นทวีปซีแลนเดีย ซึ่งทอดยาวจากแถวๆชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียผ่านมายังนิวซีแลนด์ 🌊ความเคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลกในแอนตาร์กติกาตะวันตก ซึ่งเป็นที่ราบสูงใต้น้ำนอกชายฝั่งของนิวซีแลนด์ และนอกจากความเชื่อในอดีตโบราณ จนถึงปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆในปัจจุบันที่ทำให้ง่ายต่อการสำรวจมากขึ้น จึงทำให้ “#ทวีปซีแลนเดียนั้นมีจริง”❗ . #อะไรที่ทำให้“ซีแลนเดีย” กลายเป็น #ทวีปที่8 ของโลก!? 🗺🌏 📌มีพื้นที่ขอบเขตที่ชัดเจน แยกตัวออกมาชัดเจน 📌มีสภาพทางธรณีที่แตกต่างจากบริเวณรอบๆ 📌ความสูงสัมพัทธ์ของแผ่นดินที่โผล่พ้นจากมหาสมุทร 📌มีความหลากหลายของชั้นหิน ทั้งหินอัคนี หินแปร และหินตะกอน 📌มีความหนาของชั้นหินและแผ่นเปลือกโลก ประมาณ 30-40 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับพื้นมหาสมุทรโดยรอบ 📌แผ่นดินและพื้นที่บริเวณที่โผล่พื้นน้ำขึ้นมานั้น มีการยกระดับขึ้นมาจากบริเวณรอบๆ 📌มีขนาดของพื้นที่ใหญ่ ประมาณ 4.9 ล้าน ตรกม. ซึ่งใหญ่เกินกว่าจะเป็นอนุทวีปหรือแค่ชิ้นสิ่วนของทวีปเท่านั้น การค้นพบครั้งนี้ ใช้เวลาศึกษาและสำรวจเป็นเวลานาน สืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยนักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยารวมถึงนักสำรวจ ได้วิเคราะห์ด้วยเกณฑ์การศึกษาชั้นหินทางธรณีวิทยารวมถึงศึกษาจากภาพถ่ายดาวเทียมและแรงโน้มถ่วงของมหาสมุทร ต่างชี้ให้เห็นว่า “#ซีแลนเดียเหมาะที่จะเป็นทวีปใหม่ของโลก” 📌🌏 . . #อนาคตของโลกจะเป็นยังไง? 🗿 มีงานวิจัยล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ ได้คาดการณ์ไว้ว่า ในอีก 250 ล้านปีข้างหน้า จะเกิดการก่อตัวของ “#มหาทวีปใหม่” 🗺 ที่อาจกวาดล้างมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมด ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คำนวณ อีก 250 ล้านปี ทวีปบนโลกจะเคลื่อนกลับมารวมกันเป็น “#มหาทวีป” 🌏อีกครั้ง มนุษย์อาจต้องมีจุดจบและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพราะเมื่อในอดีตหลายร้อยล้านปีก่อน (สมัยยุคดึกดำบรรพ์)🦕 ผืนแผ่นดินบนโลกก็ไม่ได้มีการแบ่งแผ่นดินเป็นทวีป อย่างในปัจจุบัน แต่เป็นทวีปขนาดใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่เรียกว่า “#มหาทวีปแพนเจีย” (Pangaea) ก่อนที่จะค่อย ๆ แยกตัวจนกลายเป็นโลกอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบันนั่นเอง . . ✨สิ่งมหัศจรรย์ คือ ดินแดนแห่งนี้เป็นทวีปที่แม้ตอนนี้จะจมอยู่ใต้น้ำ แต่ก็ไม่แตกแยกออกจากกันและยังคงจับตัวเหนียวแน่น และคงรูปของแผ่นดินขนาดใหญ่ไว้ได้เหมือนเดิม 🤩🌏 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #zealandia #Gondwana #earth #newzealand #ทวีปใหม่ #ทวีปที่8ของโลก #ซีแลนเดีย #กอนด์วานา #ปริศนา #ทวีปสาบสูญ #ตํานาน #แผนที่โลก อ้างอิงข้อมูล : BBC Travel https://www.springnews.co.th/keep-the.../environment/841875

ทำยังไงดี❓เมื่อชีวิตมันหนักหนา จนรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา 😩😢 ____________ รู้สึก ‘เหนื่อย’ 😩 อยู่ตลอดเวลา? อาจเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างของมนุษย์เราในปัจจุบัน.. ที่กำลังใช้ชีวิตเหมือนหนูแฮมสเตอร์วิ่งวนอยู่ในวงล้อ เมื่อเราวิ่ง ๆ วิ่งไปเรื่อย ๆ แบบที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ความเหนื่อยล้าก็อาจเกาะติดเราจนไม่รู้ตัว ! 🐀🤖 อาจดูเป็นเรื่องธรรมดา ที่ใครๆก็เหนื่อยกันได้ใช่ไหม! แต่ถ้าความเหนื่อยล้า มันได้มีแค่บางวันล่ะ❓ . . #แค่ไหนถึงเรียกว่า “เหนื่อย” ?😩 นิยามความเหนื่อยล้า ของแต่ละคนนั้นมีไม่เท่ากัน แต่ในหลักทางวิทยาศาสตร์นั้นอาจหมายถึง ระดับของความต้องการนอน ต้องการพักผ่อนเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ 🛌💤โดยระดับความเหนื่อยล้าจะส่งผลต่อสมองเป็นหลัก ที่มีส่วนในการนึก คิด วิเคราะห์ การทำงานต่างๆของระบบในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมต่างๆ จนกระทบกับร่างกายของเราโดยตรง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะต่างๆ ของโรคที่รุนแรง และอาจถึงขึ้นเสียชีวิตได้นั่นเอง! 😿 รายงาน Global Consumer Trends 2023 โดย Mintel ระบุว่า หนึ่งในเทรนด์สำคัญของปี 2023 คือ ‘Hyper Fatigue’ หรือแนวโน้มที่ผู้คนจะรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงอยู่ตลอดเวลา จากการสำรวจในสหราชอาณาจักร พบว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุ 18 ขึ้นไปเกือบครึ่ง (49%) เผชิญกับความเครียดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ 38% รู้สึกวิตกกังวล 22% รู้สึกเหนื่อยใจ และ 20% รู้สึกหมดไฟ 😑ส่วน 2 ใน 5 ของผู้เข้าร่วมการสำรวจหนึ่งบอกว่า พวกเขาอยากจะใช้เวลาว่างกับการทิ้งตัวลงนอนนิ่งๆ มากกว่าจะเอาเวลาไปเจอเพื่อนและครอบครัว . #Hyper Fatigue คืออะไร? 🤔 เป็นความรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงตลอดเวลาทั้งกายและใจ เกิดจากความกังวลในชีวิตประจำวัน การใช้ชีวิต ปัญหาต่างๆ ทั้งครอบครัว การงาน หรือการอ่านข่าวลบตลอดเวลา ทำให้เราต้องเผชิญกับความกังวลใหม่ ๆ มากมาย รวมถึงโซเชียลมีเดียนั้นก็ยังทำให้เรารู้สึกแย่ลงได้อีกด้วย📱📺 . . #ทำไมถึงเหนื่อยล้าตลอดเวลา? 😩 ผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดในสถานพยาบาลมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับความเหนื่อยล้าทั้งสิ้น จนกลายเป็นนิยามของอาการในชื่อ "TATT" (Tired All The Time) หรือความเหนื่อยล้าตลอดเวลา! มาดูกันว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็น TATT 👇 🦉 การติดใช้ชีวิตแบบข้ามคืน งานวิจัยของ Sleep and Health Research Program ของมหาวิทยาลัย Arizona เชื่อมโยงการนอนไม่เป็นเวลาว่ามีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจถึง 11% 🧠 เพราะร่างกายของเรา มีนาฬิกาชีวภาพที่สลับซับซ้อนชื่อว่า Circadian Rhythms 😴 คอยควบคุมความรู้สึกหิว ง่วงนอน หรือสดชื่นกระปรี้กระเปร่า โดยการปล่อยฮอร์โมนที่จะคอยควบคุมความสมดุลให้ร่างกายคงที่ แต่ถ้าเราใช้ชีวิตไม่เป็นเวลาก็จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพระยะยาวได้นั่นเอง 🧑💻 โหมงานมากเกินไป แคเธอรีน เลิฟเดย์ (Catherine Loveday) ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาของ University of Westminster เรียกภาวะนี้ว่า ‘เป็นภาวะที่สมองทำงานได้ไม่ดี’ จากการทำงานหนักเป็นระยะเวลานานจนใช้สมองหนักมากเกินไป การพักผ่อนน้อยและจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จนถูกรบกวนให้สารสื่อประสาทเสียสมดุล 💣 จะกระทบต่อความคิด ความทรงจำ การจดจ่อ การสร้างสรรค์ อารมณ์และจิตใจอีกด้วย 💪 ไม่ออกกำลังกายเลย งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Georgia ระบุว่า คนที่ออกกำลังกายประจำมากถึง 90% มักไม่มีรายงานอาการเหนื่อยล้าที่ตามมา แถมยังทำงานได้ดี การออกกำลังกายช่วยให้สารสื่อประสาทในสมองทำงานอย่างสมดุล 🧠 ทำให้รู้สึกเป็นสุข คนที่ออกกำลังเป็นประจำจึงมักเข้าใจและจัดการอารมณ์ได้ดี แถมยังช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกาย ที่เกี่ยวกับกับความเหนื่อยล้าระยะยาวอีกด้วย 👤 การขังตัวเองอย่างโดดเดี่ยว แสง อากาศสดชื่น และสิ่งเร้าเล็กๆ น้อยๆ จำเป็นต่อสุขภาวะสมองส่วน Suprachiasmatic nucleus อันเป็นสมองเล็กๆ ในส่วน Hypothalamus ที่ควบคุมเรื่องการรับรู้และตอบสนองต่อเวลาของเรา นำไปสู่อาการที่เกี่ยวกับความซึมเศร้าตามฤดูกาลที่เรียกว่า Seasonal affective disorder (SAD) ได้อีกด้วย🙁 🍔 กินอาการแย่ๆ การทานอาหารไม่ดีส่งผลเสียต่อร่างกายแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมากเกินไปอาจกลายเป็นอาการ Sleep apnoea หรือโรคหยุดหายใจขณะหลับ 😮💨 เนื่องจากอาหารฟาสฟู้ด มีปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่สูงมากปราศจากธาตุ วิตามินทำให้ร่างกายเผาผลาญเร็ว และจะหิวโหยอยู่ตลอดเวลา มีส่วนทำให้เรานอนไม่เต็มอิ่มได้นั่นเอง ☕ ติดกาแฟและแอลกอฮอล์ 🍺 งานศึกษาของมหาวิทยาลัย John Hopkins Medical School พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์เป็นประจำ มักจะมีอาการเหนื่อยล้าในระยะยาว (Long-term tiredness) แอบแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว ประสิทธิภาพในการทำงานจะลดลง ส่งผลให้มีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวล อีกทั้งยังส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในร่างกายอีกด้วย 🤯วิตกกังวลมากเกินไป นักวิจัยพบว่า การที่จมอยู่กับความเหนื่อยล้าเป็นประจำเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่โรคซึมเศร้าเรื้อรังได้เช่นกัน เหนื่อยง่ายจึงซึมเศร้า และในขณะเดียวกันซึมเศร้าก็ทำให้เหนื่อยง่าย ความเครียดและวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติก็จริง แต่เมื่อมากเกินไปจะทำให้การลำเลียงอ็อกซิเจนเข้าสู่สมองน้อยลง ทำให้สมองทำงานหนัก เสียงต่อโรคแพนิคหรือโรคตื่นตระหนกได้อีกด้วย😨 . #สัญญานที่บอกว่าเรากำลังเหนื่อยมากเกินไปแล้วนะ 🚨 😤อารมณ์ สังเกตุง่ายๆคือ อารมณ์เรามักจะเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้นกว่าเดิม อารมณ์เสียง่ายขึ้น หัวร้อน โมโห หงุดหงิดมากขึ้น ร้องไห้ง่ายขึ้น ส่งผลเสียรุนแรงต่อสภาพร่างกายและจิตใจ เมื่ออารมณ์เราแปรปรวนง่ายก็จะทำให้การทำงานต่างๆของร่ายการ รวนตามไปด้วย 🧍ร่างกาย ภายนอก 📌 : จะทำให้มีใบหน้าที่ห่อเหี่ยว ไม่สดใส ผิวหน้าไม่แข็งแรง ผิวแห้ง เป็นสิวง่าย ดวงตาอ่อนล้า เส้นผมไม่แข็งแรง หลุดร่วงผิดปกติ เล็บที่เปราะบาง ฉีดขาดง่าย รวมถึงภาวะอ้วนง่าย หรือผอมลงง่าย น้ำหนักขึ้นลงผิดปกติ 🧓💅 ภายใน 📌 : เมื่อร่างกายเรากำลังเหนื่อยเกินไป ใช้พลังงานเกินขีดจำกัดแบบไม่ได้พัก จะส่งผลกระทบกับทุกระบบในร่างกายเราเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเครียด หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดที่มาเลี้ยงหัวใจตีบเล็กลง ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ก่อให้เกิดทั้งโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด แผลในกระเพาะอาหาร ฯลฯ ไม่เพียงเท่านี้!! ลำไส้ส่วนต่างๆ และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะทำงานได้ต่ำลง ส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรงและเจ็บป่วยได้ง่ายนั่นเอง 🤒🏥 😡 พฤติกรรม เมื่อสภาพจิตใจเราเริ่มแย่ ผลเสียจากอารมณ์จะถูกส่งต่อมายังพฤติกรรม การกระทำและความคิดของเรา! คือ บางคนอาจเก็บตัวมากขึ้น เหวี่ยงมากขึ้น เข้าสังคมน้อยลง หรือแสดงออกว่ากำลังหมดกำลังใจในการใช้ชีวิต อาจจะขี้เกียจมากขึ้น 🦥 หมดแรงบันดาลใจในการทำงาน ไปสู่ภาวะ #Burn Out หรือภาวะหมดไฟ 🔥 ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อเราเข้าสู่ภาวะหมดไฟมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางแย่ลงก็จะกระทบกับการทำงานและคนรอบข้างมากขึ้น . . #ทริคที่จะช่วยให้เราไม่ต้อง เหนื่อยล้าตลอดเวลา’ 📌🤩 🧘 ฝึกสมาธิ ด้วยการฝึกลมหายใจ 📒 เขียนลงบนกระดาษ ระบายความคิดที่ฟุ้งซ่านออกมาอย่างอิสระ 🎵หากิจกรรมที่จะช่วยให้ผ่อนคลาย ฟังเพลง เล่นดนตรี ทำงานศิลปะ ดูหนัง ทำอาหาร ⛵ออกไปเที่ยว พักผ่อนตามธรรมชาติ 🐕ใช้เวลากับคนรัก ครอบครัวและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น 🥗 รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ 🏃 หมั่นขยับร่างกาย ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาที่ตัวเองชอบ 🛌 นอนหลับพักผ่อนให้เป็นเวลา 👩💻 อย่าฝืนทำงานตอนรู้สึกเหนื่อยล้า 🫂 คุยกับเพื่อน คนรอบข้างอยู่เสมอๆ เมื่อมีเรื่องอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว 🧑🔬 ปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ อย่ากลัวที่จะต้องไปหาหมอ . . เพราะท้ายที่สุดแล้ว จิตใจเรานั้นสำคัญกับตัวเราที่สุด! หากใจดี ร่างกายก็จะดีตามไปด้วย.. "อย่าลืมที่จะโอบกอดตัวเองในวันที่เหนื่อยล้าเพราะตัวเรามีแค่เราคนเดียว" 🤗💖 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Hyperfatigue #MentalHealth #Tried #Workไร้Balance #BurnOut #SAD #เหนื่อยล้า #มนุษย์เงินเดือน #หมดไฟ #เครียด #นอนไม่หลับ #สุขภาพจิต #วันสุขภาพจิตโลก อ้างอิงข้อมูล : Washington Post Health.harvard Glamour magazine

ปีนี้ลองมากินเจกันมั้ย❓ "กินเจ"🚩ลดโลกร้อน ฮีโร่ยุคใหม่ สไตล์เฮลท์ตี้! 🥬🌍 ________ เทศกาลกินเจ! ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ไปจนถึง 23 ตุลาคม 2566 นี้ ซึ่งในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแต่พี่น้องเชื้อสายจีนกันแล้ว แต่ลูกหลานไทยแท้ๆ ก็หันมาสนใจกินเจกันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่า... การกินเจมีผลที่สามารถช่วยลดโลกร้อนได้ด้วย! และในปัจจุบันก็มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีตัวช่วยหลายอย่าง ที่สามารถทำให้เรากินเจได้อย่างอร่อย สุขภาพดี ไม่ตกเทรนด์ และยังรักษ์โลกอีกด้วย . . #เทศกาลกินเจ🚩 เทศกาลกินเจ เป็นวัฒนธรรมที่ทำสืบต่อกันมาในคนไทยเชื้อสายจีนและในหลายๆประเทศโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย สิงค์โปร์ มาเลเซีย ซึ่งตามหลักแล้วการกินเจ⛔ คือ การถือศีลงดเว้นจากการบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ 🥩ห้ามเสพของมึนเมาและห้ามกินผักฉุนที่มีกลิ่นแรง 5 ชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม กุยช่าย หลักเกียว ใบยาสูบ เป็นต้น 🍺🧄 การถือศีลกินเจ เป็นความเชื่อที่ชาวจีนร่วมกันถือศีลในเดือน 9 เป็นเวลา 9 วัน เพื่อรำลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษผู้นำกองทัพ ทั้ง 9 คน ที่ปกครองชาวจีนในสมัยแมนจูนั่นเอง 👲 . . #กินเจดีกับสุขภาพยังไง? 🧐 🚩เป็นการปรับพฤติกรรมการกินเพื่อสุขภาพ ให้ร่างกายสมดุล ♻ 💪เป็นการฟื้นฟูสุขภาพ ขับสารพิษออกจากร่างกาย 🚽ช่วยระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายให้กลับมาทำงานปกติมากขึ้น 🥩ลดการรับสารปนเปื้อนจากเนื้อสัตว์ และหันมาทานผักมากขึ้น . #กินเจ🚩ลดโลกร้อนได้จริงหรอ??🌍🥵 สาเหตุหลักของการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน คือ ก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น การตัดไม้ทำลายป่า การทำอุตสาหกรรม นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า #การทำปศุสัตว์ 🐄นี่แหละ ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักก่อให้เกิด #ภาวะโลกร้อน! 🥵 เนื่องจาก... 👉การผลิตเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเป็น เนื้อวัว หมู ไก่ รวมถึง นม ไข่ ล้วนส่งผลให้เกิดก๊าซมีเทนสาเหตุของภาวะเรือนกระจก 👉การทำอุตสาหกรรมทำฟาร์มขนาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีการปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำหรือฝุ่นควัน จากโรงงาน และใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการสร้างจึงต้องมีการตัดไม้ ทำลายป่ามากขึ้น 👉การเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว วัวสามารถผลิตก๊าซมีเทนเฉลี่ย 70-120 กิโลกรัมต่อปี จากการผายลมของวัวแค่ตัวเดียว ก่อให้เกิดก๊าซมีเทนเป็นจำนวนมาก เป็นปัญหาระดับโลก อันดับ 2 รองจากก๊าซคาร์บอนเลย! . #กินเจช่วยโลกยังไง?🌍✨ ✅ช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน 🌫 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด โจเซฟ พูร์ และโทมัส เนเมเซ็ค ได้เผยแพร่รายงานในปี 2018 ซึ่งสรุปว่า การผลิตอาหารมีส่วนรับผิดชอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกถึงร้อยละ 26 โดยมีสัดส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 13.5 ล้านตัน การลดการผลิตและบริโภคอาหารที่ทำจากสัตว์จะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้เป็นจำนวนมากนั่นเอง ✅ช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า🌳 ยิ่งมีมนุษย์จำนวนมากขึ้น การปศุสัตว์ก็ยิ่งขยายตัวมากขึ้น ดังนั้นพื้นที่ในการทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ก็มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้เองอาจให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าได้ หากลดการสร้างอุตสาหกรรม การทำฟาร์มปศุสัตว์ ก็จะช่วยสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ✅ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ🏭 การทานโปรตีนจากพืชมีประสิทธิภาพและผลิตที่ได้ ง่ายกว่าโปรตีนจากสัตว์ เพราะการปลูกพืชเพื่อการบริโภคของมนุษย์ จะลดกระบวนการรับอาหารได้โดยไม่ต้องผ่านโรงงานแปรรูป ใช้พื้นที่น้อย ใช้พลังงานน้อย และน้ำน้อยกว่าการเลี้ยงและฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารนั่นเอง ✅ช่วยลดการใช้น้ำที่สิ้นเปลือง💧 UNFAO ค้นพบว่าการผลิตอาหารสำหรับคนกินเนื้อสัตว์ ต้องใช้น้ำวันละมากกว่า 4,000 แกลลอน ในขณะที่การเกษตร ปลูกผักผลไม้ต่าง ๆ ใช้น้ำเพียง 300 แกลลอนเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว หากคนลดการทานเนื้อสัตว์แล้วหันมากินเจกันมากขึ้น อาจช่วยลดการใช้น้ำที่สิ้นเปลืองได้นั่นเอง ✅ช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง🚚 การรับประทานโปรตีนในธัญพืชที่ปลูกบนดิน จะใช้พลังงานอย่างมากก็แค่จากการขนส่งเท่านั้น! 🚚 ซึ่งใช้พลังงานเชื้อเพลิงน้อยกว่ากระบวนการผลิตเนื้อสัตว์เพราะการแปรรูปส่งโรงฆ่าสัตว์นั้นจะใช้พลังงานเชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก . . #HowTo❓กินเจยุคใหม่ ไม่ให้จำเจอีกต่อไป! 🥬🥗🥜 ปัจจุบันโลกเรามีนวัตกรรมอาหารที่ยั่งยืนอยู่มากมาย ทีสามารถทำให้การ #กินเจ🚩ของเราไม่น่าเบื่ออีกต่อไป! และที่สำคัญ อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ทำให้เราไม่จำเป็นต้องกินเฉพาะเทศกาลกินเจเท่านั้น มีอะไรบ้าง มาดูกัน 👇 👉Plant-based (โปรตีนจากพืช)🌱 Plant-based คือ นวัตกรรมอาหารที่ทำจากพืช มีการเลียนแบบหน้าตา รสชาติ เนื้อสัมผัส เหมือนกับเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อวัวจากพืช เนื้อหมูจากพืช เนื้อไก่จากพืชและอื่นๆอีกมากมาย การทานโปรตีนจากพืชนั้น ยังให้สารอาหารที่ครบถ้วน มีไขมันดี มีโปรตีนและไฟเบอร์จำนวนมาก ที่ช่วยในการย่อยอาหารและขับถ่าย 👉Sea Plants (พืชทะเลกินได้) 🐟🌊 พืชทะเลที่กินได้ กำลังกลายเป็นเทรนด์อาหารที่ได้รับความนิยม โดย Whole Foods คาดการณ์ว่าสาหร่ายทะเลจะโตมาก เราอาจจะได้พบผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายทะเลมากขึ้น สาหร่ายเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะสาหร่ายสามารถดูดซับคาร์บอนในชั้นบรรยากาศได้และไม่ต้องการน้ำจืดหรือสารอาหารเพิ่มเติมก็สามารถอยู่ได้ 👉Sustainable Seafood (อาหารทะเลที่ยั่งยืน) 🐟 อาหารทะเลแบบยั่งยืน เป็นอาหารที่ได้รับมาตรฐานการทำประมงอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงหากเป็นฟาร์มปลาจะต้องไม่สร้างมลพิษจากการเลี้ยง ไม่มีสารเคมีปนเปื้อนนั่นเอง 👉Salicornia salt (เกลือจากพืช)🧂 Salicornia salt เป็นเกลือที่ได้มาจากพืชทะเลที่รู้จักกันในนามว่า “แซมไฟร์” หรือ “ถั่วทะเล” เป็นพืชที่เติบโตตามธรรมชาติ มีโซเดียมน้อยกว่าเกลือทั่วไปที่เราใช้ปรุงอาหารกัน 👉Plant milk (นมจากพืช) 🍼 น้ำนมพืช เป็นการสกัดจากพืช โดยจะให้โปรตีนแทนน้ำนมจากสัตว์ ปราศจากน้ำตาลแลกโตส เช่น นมอัลมอนด์ นมข้าว นมข้าวโอ๊ต หรือโยเกิร์ตจากน้ำนมพืช ที่ปัจจุบันนิยมกันอย่างมาก เพราะมีโปรตีนและคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอล ไขมันต่ำ 👉Organic Food (พืชผักออร์แกนิก) 🥗 ผักออกร์แกนิก เป็นผลผลิตธรรมชาติที่ปราศจากสารเคมี ไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรม (Non-GMO) ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้ฮอร์โมน และไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยการฉายรังสี ปลูกด้วยวิธีการธรรมชาติและยังสามารถปลูกเองได้ที่บ้านอีกด้วย 👉Solar Foods (ผงโปรตีนจากคาร์บอน)💨 เป็นแป้งโปรตีนจากคาร์บอนไดออกไซด์ เรียกว่า Solein (โซลีน) เป็นผงแป้งสีเหลือง เหมือนแป้งสาลีทั่วไป มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ 60 - 70% ส่วนประกอบที่เหลือจะเป็นกรดไขมันและไฟเบอร์ เป็นผงที่สามารถนำไปทำอาหารได้ทุกชนิด และที่สำคัญ ในขั้นตอนการผลิตนั้น ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย . . เพื่อให้การกินเจ ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป!🚩นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มเต้นเล็กๆเท่านั้นก็ได้นะ จะลองหันมาดูแลสุขภาพตอนนี้ก็ยังไม่สาย... ได้ทั้งหุ่นที่ดี สุขภาพที่ดี แถมยังช่วยโลกได้อีกด้วย 😊🌍 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #กินเจ #ช่วยโลก #รักษ์โลก #เทศกาลกินเจ #ภาวะโลกร้อน #Plantbased #Healthy #Food อ้างอิงข้อมูลจาก : UNFAO https://ngthai.com/environment https://www.thairath.co.th/lifestyle

ความตายกับเพื่อนคนสุดท้ายที่ชื่อว่า “สัปเหร่อ” 💀🪦💫 _____________ "ไม่จากกันวันนี้ วันหน้าก็ต้องจากกันอยู่ดี" --- ประโยคเด็ดกินใจจากภาพยนตร์เรื่อง “สัปเหร่อ” 🎬💀ไทบ้านเดอะซีรีส์ ที่กำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้ !! แต่ก็จริงอย่างที่เขาบอกว่า ชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอน...😮💨แล้วหากพูดถึง #ความตาย จะนึกถึงอะไรเป็นอันดับแรก❓ หลายๆคนอาจจะนึกถึง ‘ผี’👻 งานศพ ความเสียใจ การจากไปของคนที่รัก... แต่ทั้งนี้ จะมีสิ่งนึงที่ทุกคนอาจลืมนึกถึงไป นั่นก็คือ ‘สัปเหร่อ’ 💀คนที่เปรียบเสมือนเพื่อนคนสุดท้ายของเราทุกคน! . . ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยังมีอีกหลายคนที่อาจไม่เข้าใจถึงความเป็น #สัปเหร่อ💀 ที่ต้องเกี่ยวพันกับปลายทางของชีวิตอย่าง “ความตาย” ☠ แล้วสัปเหร่อคืออะไร? ในทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์การจะดูแลศพมีขั้นตอนอย่างไร? การจะเผาศพจะต้องใช้อุณหภูมิสูงสุดเท่าไหร่? ถ้าการเผาศพแบบเดิมๆ ทำให้เกิดมลพิษกับโลก แล้วต่อไปไม่มีสัปเหร่อจะเป็นยังไง? 🧐👇👇 . 👉💀#สัปเหร่อ คืออะไร? งานวิจัยของทวีศักดิ์ วรฤทธิ์เรืองอุไร เรื่อง "สัปเหร่อกับการจัดการศพของชุมชน" คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สัปเหร่อ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่แปรสภาพสังขารร่างกายของคนที่ตายไปแล้วให้สูญสลายไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง . 👉💀 #สัปเหร่อมีที่มา มาจากไหน? “สัปเหร่อ” คำนี้มีที่มาจากภาษาเขมร ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยแปลงมาจากคำว่า สัปบุรุษ หรือ สัปเรอ ซึ่งแปลว่า “คนดี” เพราะผู้ที่จะเป็นสัปเหร่อได้นั้น นอกจากจะต้องมีจิตใจที่ดี เสียสละแล้ว ยังต้องมีความกล้าหาญอีกด้วย ในรัชกาลที่ 5 จากคำว่า สัปเรอ ซึ่งบางคนก็จะเรียกกันว่า “นายป่าช้า” 🪦 เพราะต้องอาศัยอยู่บริเวณป่าช้าเพื่อแปรสภาพร่างกายของผู้วายชนม์เป็นส่วนมาก ก็ถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า “สัปเหร่อ” แทน พ.ศ. 2460 รัฐสยามได้ประกาศใช้ “กฎหมายเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยป่าช้าแลนายป่าช้า” ซึ่งทำให้ “นายป่าช้า” หรือ “สัปเหร่อ” มีหน้าที่ในการจัดการศพอย่างเป็นทางการ และกลายมาเป็นอาชีพที่เรารู้จักกันจนถึงตอนนี้นั่นเอง . 👉💀 #ทำไมถึงต้องมี ‘สัปเหร่อ’ ? ราชการกำหนดให้มีหน้าที่ สัปเหร่อ เป็นงานประเภทที่ ๕ คือพนักงานบริการ คือเป็นพนักงานให้บริการในเรื่องส่วนบุคคลและบริการด้านการป้องกันภัย กำหนดเป็น "สัปเหร่อและเจ้าหน้าที่ฉีดยาศพ" ทำหน้าที่จัดการเผาและฝัง รักษาไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการฉีดสารเคมีในร่าง รวมถึงการทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการร่างผู้วายชนม์ “สัปเหร่อ” 💀 เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์เรามาอย่างยาวนาน ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะบุคล มีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญ แต่เพราะมันไม่ใช่งานในฝันของคนทั่วไป ไม่ใช่ใครก็ทำได้ เป็นงานที่เกี่ยวพันกับความตาย แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิตเราทุกๆคน ก็คงหนีไม่พ้นสัปเหร่อ . 👉💀 #สัปเหร่อต้องทำอะไรบ้าง? 🪡 การเย็บร่างผู้วายชนม์ เย็บแผลให้ปิดสนิท 💉 การฉีดสารฟอร์มาลีน รักษาร่างผู้วายชนม์ไม่ให้เน่าเปื่อย ⚰️ เตรียมเมรุเผา 🙏เปิดโลงและตัดด้ายที่มัดมือมัดเท้า 🥥จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำมะพร้าว 🔥ดำเนินการเผาตามขั้นตอน 🦴เก็บกระดูก . 👉☠ #ฟอร์มาลินคืออะไร? เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งมีพิษ ประกอบด้วยก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde) ละลายน้ำด้วยความเข้มข้นร้อยละ 37 โดยน้ำหนัก และมีเมทิลแอลกอฮอล์ (methyl alcohol) ประมาณร้อยละ 10-15 เป็นองค์ประกอบด้วย มีลักษณะเป็นน้ำใส มีกลิ่นฉุน แสบจมูกและตา ใช้เป็นน้ำยาทำลายเชื้อโรค อันตรายกับสิ่งมีชีวิตและมีกฏที่ใช้ได้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น!! . 👉💉#ทำไมต้องฉีดสารฟอร์มาลิน ตามหลักวิทยาศาสตร์ในทางการแพทย์การฉีดสารฟอร์มาลิน จะเป็นการฉีดเข้าไปตามเส้นเลือดแดงใหญ่ของร่างผู้วายชนม์ เพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย จากนั้น สารฟอร์มาลิน ก็จะกระจายไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรคและทำให้โปรตีนในร่างกายแข็งตัว ซึ่งฟอร์มาลิน เป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างมาก ถ้าฉีดเข้าไปในร่างกายคนที่ยังมีชีวิต สารจะเปลี่ยนรูปเป็นกรดฟอร์มิคและทำลายเซลล์ในร่างกายจนตาย ดังนั้น จะต้องใช้ในการฉีดศพเท่านั้น ! . 👉🔥#เตาเผา เตาเผาปลอดมลพิษ : AAR (After Action Review) คือ เตาเผาแบบ 2 ห้องเผา เพื่อป้องกันมลพิษจากการเผา โดยห้องเผาแรกจะไว้เผาร่างของผู้วายชนม์ ส่วนห้องเผาที่สอง คือห้องสำหรับเผาควัน หลักการก็คือ เมื่อเกิดควันจากห้องเผาศพ ควันจะลอยขึ้นตามช่องมาสู่ห้องที่สอง จะมีหัวเผา (Burner) พ่นไฟออกมาเพื่อเผาควันซ้ำอีกครั้ง และต้องมีอัตราการกักเก็บซ้ำเพื่อเผาอย่างน้อย 1 วินาที 💡*เกล็ดความรู้* อัตราการใช้เชื้อเพลิงนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของร่างผู้วายชนม์ รวมถึงการถอดปลั๊กไฟจากโลงเย็นอีกด้วย เพราะหากร่างผู้วายชนม์ยังมีความเย็นและแข็งอยู่มาก ก็จะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลงในการเผามากขึ้นไปอีก . 🔥🌡#ต้องใช้อุณหภูมิเท่าไหร่? 👉 อุณหภูมิความร้อนสะสมภายในห้องเผา จะต้องไม่ต่ำกว่า 350 องศาเซลเซียส (คือต้องมากกว่า350องศาขึ้นไป) 👉 ระยะเวลาโดยเฉลี่ย เมื่อกล้ามเนื้อและร่างกายมนุษย์เราถูกการเผาไหม้จนหมด จะเหลือแต่กระดูกนั้น จะอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 45 นาที แต่หากร่างมีน้ำหนักมาก จะใช้เวลาอยู่ที่ 2 – 2ชั่วโมงครึ่ง 👉 ถ้าต้องการเผากระดูกหรืออัฐิ จะต้องใช้เชื้อเพลิงมากกว่า และใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที . 🔥☁#มลพิษจากการเผา ในการเผา 1 ครั้ง จะเกิดสารไดออกซินและฟิวแรน ที่เป็นมลพิษจากการเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นการใช้เชื้อเพลิงอย่างสิ้นเปลือง นอกจากจะเกิดเขม่าควันดำแล้วนั้น ยังเกิดก๊าซพิษและฝุ่นละออง ขี้เถ้าจากการเผาไหม้และกลิ่นจากสารอินทรีย์ โลหะหนักเช่น ปรอทและตะกั่วอีกด้วย . . 👉👥#เพื่อน(ตาย)คนสุดท้าย ประโยคที่ว่า “เพื่อนกินหาง่ายเพื่อนตายหายาก” 👥ซึ่งก็อธิบายความหมายของอาชีพสัปเหร่อได้ดี เหมือนตอนที่เราลำบากที่สุดอย่างตอนเราตายแล้วเขาเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน ‘เพื่อนตาย’ ซึ่งในอาชีพสัปเหร่อ ในทุกๆขั้นตอน จะต้องทำด้วยใจบริสุทธิ์ ทำเพื่อทั้งคนเป็นและคนตาย เพื่อการจากลงครั้งสุดท้ายให้ดีที่สุด เพราะทุกคนคงหนีไม่พ้นสัปเหร่อ ตัวสัปเหร่อเองก็ไม่พ้นสัปเหร่อเช่นกัน ตายไปสัปเหร่อต้องเผา คนเราอยู่บนโลกมนุษย์เราอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ สิ่งที่จะอยู่กับเราจนวินาทีสุดท้ายจนเราเข้าเตาเผาเป็นเถ้าเป็นถ่านก็คือสัปเหร่อ . 👉💀#ถ้าไม่มี สัปเหร่อ จะเป็นอย่างไร? แม้ปัจจุบันผู้คนที่ประกอบอาชีพ “สัปเหร่อ” จะลดลงไปอย่างมาก เนื่องจากความหวาดกลัว ความเชื่อ หรือเทรนด์ ฯลฯ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สัปเหร่อยังเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะในทุก ๆ วันจะมีคนเสียชีวิตเพิ่มอยู่ทุกวัน และคนที่จะเข้ามาเชื่อมโยงระหว่างคนเป็นกับคนตาย ก็คือ “สัปเหร่อ” ทั้งนี้ จึงอยากพามารู้จักกับวิธีจัดการความตายแบบมีทางเลือกในโลกสมัยใหม่! 🧐 ที่นอกเหนือจากการเผาที่เรารู้จักกัน โดยมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเพื่อคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ป้องกันมลพิษที่เกิดจากการเผาและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย 🌍🔍 . . 👉🖤#การจัดการความตายแบบมีทางเลือกในยุคใหม่! 📌เปลี่ยนเป็นปะการังเทียม🌊🐠 Eternal Reefs บริษัทรับทำศพในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ มีแนวคิดสร้างสรรค์ในการจัดการกับร่างกายหรือเถ้ากระดูกที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมได้ นอกเหนือไปจากการจัดงานศพด้วยวิธีการดั้งเดิม ด้วยการแปลงสภาพร่างที่ไร้วิญญาณไปเป็นปะการังเทียมรูปโดม เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลนอกชายฝั่ง 📌เปลี่ยนเป็นปุ๋ยอินทรีย์🪴 เป็นการทำศพด้วยวิธีย่อยสลายตามธรรมชาติ ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย Recompose บริษัทในนครซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ที่พัฒนาเทคโนโลยี ทำให้ศพย่อยสลายกลายเป็นดินปุ๋ยชั้นดี เหมาะสำหรับนำไปทำสวนและเพาะปลูก โดยมีกรรมวิธีคือ การนำศพเข้าเก็บในช่องรูปทรงกระบอกทำจากเหล็กที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ แล้วกลบร่างของผู้เสียชีวิตด้วยเศษไม้และพืชตระกูลถั่วที่เรียกว่า "อัลฟัลฟา" (alfalfa) จากนั้นก็ควบคุมระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ออกซิเจน ความร้อน และความชื้นในช่องเก็บศพเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรีย 📌ส่งเถ้ากระดูกขึ้นสู่อวกาศ🚀 เป็นการพัฒนาสร้างทางเลือกใหม่ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยบริการขนส่งทางอวกาศเป็นการส่งเถ้ากระดูกของตัวเองขึ้นสู่ห้วงอวกาศ บริษัท Celestis ในสหรัฐฯ จะทำการส่งเถ้ากระดูกผู้เสียชีวิตไปพร้อมกับภารกิจอวกาศต่าง ๆขององค์การนาซา เพื่อให้สามารถนำไปปล่อยสู่วงโคจรของโลก หรือห้วงอวกาศที่อยู่เหนือไปกว่านั้นได้ 📌Jumoke’s การฝังใต้ต้นไม้ใหญ่🌳 เป็นนวัตกรรมแนวทางการแก้ปัญหาในข้อจำกัดของเมืองประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในปี 1999 มีวัดชื่อ Shōunji ได้เสนอพิธีศพที่เรียกว่า Jumokusō หรือการฝังใต้ต้นไม้ คือจะมีการเผาแล้วนำเถ้าฝังลงในดินพร้อมปลูกต้นไม้ขึ้นมา การฝังศพโดยมีต้นไม้และผืนป่าเป็นองค์ประกอบของการหลับครั้งสุดท้ายแทนการมีป้ายหินหรือสิ่งประดับอื่นๆ อย่างที่พบเห็นได้ในสุสานทั่วไป การฝังศพพร้อมกับการปลูกจะสามารถช่วยพัฒนาพื้นที่ป่าจากที่ดินรกร้างได้ รวมถึงเป็นการป้องกันการพัฒนาที่รุกล้ำพื้นที่ธรรมชาติได้อีกด้วย 📌Aquamation การเผาด้วยน้ำ💧 คือ การนำร่างเข้าสู่กระบวนการ อัลคาไลน์ ไฮโดรไลซิส (alkaline hydrolysis) แทนการเผาเพื่อลดการปล่อยมลภาวะสู่ชั้นบรรยากาศ โดยการต้มน้ำผสมสารโปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ ที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส นาน 3-4 ชั่วโมง ปฏิกิริยาเคมีจะย่อยสลายเนื้อเยื่อจนเหลือแต่กระดูก . . ในทุกๆการสูญเสีย คนที่ยังอยู่มักเจ็บปวดกว่าเสมอ แต่หากจะมีวิธีไหนที่ทำให้ความเจ็บปวดน้อยลงไปได้บ้าง.. การดูแลในช่วงเวลาสุดท้ายจาก “สัปเหร่อ” นี่แหละที่จะช่วยเยียวยาคนที่ยังอยู่ได้! ผู้ที่เป็นเหมือนเพื่อนคนสุดท้ายนั่นเอง🖤🤍 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #สัปเหร่อ #ความตาย #เพื่อนตาย #ฟอร์มาลิน #TheUndertaker #ไทบ้านเดอะซีรีส์ #หนังไทย #วิทยาศาสตร์กับความตาย อ้างอิงข้อมูลจาก : https://www.springnews.co.th/lifestyle/movie-series/844424 https://mgronline.com/entertainment/detail/9660000094548 https://www.gotoknow.org/posts/253231 https://www.the101.world/the-undertaker-and-there-is-no-formula/

“ผี” มีอยู่จริง! หรือ เราแค่คิดไปเอง ❓ 👻🎃 สวัสดี #วันปล่อยผี 👻🎃 กับเทศกาลฮาโลวีน 2023❗พูดถึงผี 😨แล้วคิดว่า“ผี” มีจริงไหม?... คำถามนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ไขไม่ได้เสียที เพราะมันเป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์อย่างชัดเจนไม่ได้ บ้างก็เชื่อว่ามีจริง เคยเห็นหรือเคยได้ยินมาบ้าง บางคนก็ไม่เชื่อเรื่องผี มีแต่หลอกหลอน เป็นเรื่องเพ้อฝันหรือคิดไปเองกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะ ผีจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เราก็ต้องมองในแง่มุมของวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะวิทยาศาสตร์สามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง วันนี้ STeP จะมาอธิบายมุมมองเรื่องของผี ที่ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า #สิ่งที่มองไม่เห็น ว่าอะไรที่ทำให้คนเราเชื่อเรื่องผี? กลัวผี หรือเชื่อว่าผีมีอยู่จริง ? . . #วันปล่อยผี 👻🎃 “วันปล่อยผี” หรือวันฮาโลวีน (Halloween) 👻เป็นวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ซึ่งเป็นเทศกาลที่จะเฉลิมฉลองก่อนวันสมโภชนักบุญของศาสนาคริสต์ ซึ่งจะตรงกับ ทุกวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกๆปี 🧙🧛 เชื่อว่ามีต้นกำเนิดมาจากเทศกาลดั้งเดิมของชาวเคลต์ 🧝 ที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของ #เทพเจ้าแห่งความตาย มีขึ้นไว้เพื่อฉลองจุดสิ้นสุดของฤดูกาลเก็บเกี่ยว รวมทั้งการเตรียมพร้อมรับมือกับช่วงมืดและยังถือว่าเป็นวันปีใหม่ของในศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิกอีกด้วย . #ความเชื่อ 🤔✨ เคยได้ยินคำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ใช่ไหม? กับสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า มันไม่มีอยู่จริง! บนโลกนี้อาจจะมีสิ่งลี้ลับอยู่ล้อมรอบตัวเราก็ได้ เรื่องผีสางในสังคมไทยผูกพันมาอย่างช้านาน เราถูกปลูกฝังด้วยเรื่องชองวัฒนธรรม พิธีกรรม ศาสนาและความเชื่อต่างๆ ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ ในปี 2015 Chapman University ได้ทำการสำรวจและพบว่า ผู้คนจำนวนถึง 52% มีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงเรื่องผี และพบว่ามากกว่า 40% ของชาวอเมริกันเชื่อเรื่องผี บางคนยังอ้างว่าเคยพบเห็นมาแล้วด้วยเช่นกัน . #ทำไมเราถึงเชื่อเรื่อง “ผี”? 🤔👻 👉เราเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย สวรรค์ นรก วิญญาณ ภูติผีปีศาจ 👉เราเชื่อจากการถ่ายภาพติดวิญญาณ คลิปวิดีโอ เสียง หรือหลักฐานต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่า มีสิ่งลี้ลับอยู่จริง 👉เราเชื่อจากสิ่งบันเทิงหรือสื่อต่างๆ เช่น รายการผี ภาพยนตร์สยองขวัญ เรื่องเล่า 👉เราเชื่อจาก พิธีกรรม วัฒนธรรมและศาสนาที่สืบทอดกันมาในท้องถิ่นของมนุษย์ . #ผีคืออะไร? 💀👻 นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาอธิบายหลายครั้งว่า “ผีไม่มีจริง” และเป็นเพียงแค่ “กลุ่มพลังงาน” เท่านั้น! แต่ใครหลายคนที่เจอกับตัวก็มักจะค้านกับหลักการนี้อย่างสุดขีด จึงจำเป็นต้องมีการพิสูจน์ หาทฤษฏีต่างๆ มาอธิบาย การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ อธิบายว่า “ผี” เป็น “พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง” พลังงานในลักษณะที่คล้ายพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือ และในทางกลับกันการใช้มือถือ ซึ่งมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาก อาจทำให้เห็นภาพต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งการถ่ายภาพหรือวิดีโอแล้วมีภาพหรือเงาที่อธิบายไม่ได้ 📌สรุปแล้ว “ผี” ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ก็คือ กลุ่มพลังงานหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจมองเห็นหรือไม่เห็นก็ได้นั่นเอง . . #ทฤษฎีที่ทำให้คนเห็นผี!? 🪄👻 👉ความผิดปกติเรื่องการนอน (ผีอำ) /ภาวะ Sleep Paralysis 🛌💤 #ผีอำ 👻หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่าภาวะ Sleep Paralysis เป็นภาวะที่ร่างกายรู้สึกตัวแต่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ มักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น อาการนี้มักเกิดขึ้น 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงใกล้หลับ 25% และใกล้ตื่น 75% หากมีความผิดปกติในการนอนหลับเราทุกคนก็มีโอกาสที่จะมีอาการ "ผีอำ" ได้ เพราะสมองถูกรบกวนขณะที่กำลังทำงานในสภาวะวัฏจักร หลับ-ตื่น โดยอาจจะรู้สึกได้หลายรูปแบบ เช่น เห็นภาพคนลักษณะที่ไม่ชัดเจนเป็นภาพมัว ๆ หรือรู้สึกตัวแต่ขยับร่างกายไม่ได้ พยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีแรงเคลื่อนไหว และอย่างสุดท้ายคือรู้สึกหายใจไม่ปกติ จุกที่อกเหมือนกำลังโดนทับอยู่นั่นเอง 👉ความฝันขณะตื่น (Waking dream) 😪🦉 ดร.โจ นิกเคล นักวิจัยอาวุโสของ "คณะกรรมการซีเอสไอ" (Committee for Skeptical Inquiry - CSI ) ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนที่ส่งเสริมการตรวจสอบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ได้เป็นภาวะเคลิ้มที่สมองตื่นอยู่แต่ร่างกายยังหลับไม่ตอบสนอง มีความเกี่ยวข้องกับอาการตัวแข็งเป็นอัมพาตขณะหลับอีก บอกว่าภาวะความฝันขณะตื่นทำให้คนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับความกลัวในจิตใจได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้วหรือมนุษย์ต่างดาว ส่วนมากจะเห็นว่ามีภูตผีมายืนข้างเตียง บ้างอาจรู้สึกว่าถูกกดทับหรือถูกบีบคอจนร้องไม่ออก 👉ความกลัว (Phasmophobia) 😨😱 ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้ โดยนายแบรนดอน อัลวิส ผู้ก่อตั้งสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) บอกว่าภาวะความกลัวสามารถทำให้เกิดอาการแพนิก (Panic Attack) หรือการตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างรุนแรงควบคุมไม่ได้ จนมองเห็นภาพหลอนขึ้นมาได้นั่นเอง 👉การขาดออกซิเจนในสมอง (Cerebral anoxia) 🧠😮💨 การขาดออกซิเจนในสมอง (Cerebral anoxia) สามารถทำให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้บิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริงออกไปได้ รวมทั้งยังทำให้มองเห็นภาพหลอนได้ง่ายอีกด้วย การขาดออกซิเจนในสมองทำให้ผู้ป่วยหนักรู้สึกถึงประสบการณ์แปลก ๆ ขณะใกล้ตาย และมีความรู้สึกว่าวิญญาณกำลังล่องลอยออกจากร่างได้ด้วย 👉ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ ☢⚠ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มีความเกี่ยวข้องกับกรณีบ้านผีสิงหลายแห่งมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 แล้ว โดยมีหลักฐานการวิจัยที่ชี้ว่า เมื่อสมองได้รับก๊าซดังกล่าวเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายเกิดอาการวิงเวียนคลื่นเหียน หายใจขัด รู้สึกเหนื่อยล้าสับสน รวมทั้งเห็นภาพหลอนหรือหูแว่วได้ยินเสียงหลอนประสาทได้ ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ ยังอาจมีอาการป่วยต่อไปหลังจากนั้นนานหลายปีได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง ทั้งด้านความจำ ความคิด และพฤติกรรม บ่อยครั้งที่มีรายงานว่าผู้ป่วยเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแว่วต่าง ๆ ทั้งเสียงกระดิ่งและเสียงคนวิ่งไล่กัน รวมทั้งรู้สึกถึงสัมผัสประหลาดคล้ายผีมาแตะต้องตัวอีกด้วย 👉คลื่นเสียงความถี่ต่ำ การได้ยินเสียงที่ชวนขนลุก 🔊🔕 หูของคนเราสามารถรับคลื่นเสียงได้ที่ระดับความถี่ตั้งแต่ 20 ถึง 20,000 เฮิรตซ์ หรือเป็นช่วงความถี่ที่เรียกว่า โซนิค (Sonic) โดยเสียงที่มีระดับความถี่เกินกว่า 20,000 เฮิรตซ์ หรือ คลื่นเหนือเสียง หรือที่เรียกว่า อัลตร้าโซนิค (Ultrasonic) นั้น หูของคนเราไม่สามารถรับรู้ได้ ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ ถึงแม้ว่าหูของคนเรานั้นจะไม่ได้ยินเสียงความถี่ต่ำ จากการศึกษาและพบว่า 22% ของผู้ชมคอนเสิร์ตสัมผัสกับเสียงที่ความถี่ 17 เฮิรตซ์ กลุ่มคนเหล่านี้ เกิดความรู้สึก ไม่สบายใจ เศร้าโศก หนาวสั่น หรือหวาดกลัว อีกทั้ง ยังพบว่าทำให้เกิดผลทางสรีรวิทยา เช่น หัวใจเต้นเร็ว การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจ และสามารถบิดเบือนลูกตาทำให้เห็นภาพเลือนลาง รวมถึงหูแว่วได้อีกด้วย 👉คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า electromagnetic fields (EMF) 🧲⚡ ทฤษฎีอธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ electromagnetic fields (EMF) ที่ถูกสร้างขึ้นจากวัตถุที่มีประจุ คลื่นพลังงานมีจัดเรียงตามสเปกตรัมตามความยาวคลื่น เมื่อความยาวคลื่นลดลง พลังงานของคลื่นจะเพิ่มขึ้น โดยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกจากวัตถุเป็นคลื่นพลังงานในรูปแบบต่างๆ เช่น คลื่น วัตถุ การเคลื่อนไหวของวัตถุต่างๆ เป็นต้น การที่เกิดจุดอากาศเย็นผิดปกติหรือมีผู้สัมผัสถึงพลังงานเคลื่อนไหวประหลาดในบางสถานที่นั้น เกิดขึ้นได้จาก”การเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชั่วคราว” ซึ่งแหล่งที่มาของ EMF นั้น เกิดได้จากทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่เต้าเสียบไฟที่ผนังบ้าน ไปจนถึงพายุฝนฟ้าคะนอง และรวมถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเครื่องมือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และจากฝีมือมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน 👉พลังงานที่เปลี่ยนรูป 〰❓ นักวิทยาศาสตร์ที่พยายามอธิบายการมีอยู่ของผี อย่างเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้เสนอพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับการมีอยู่จริงของผี โดยอ้างอิงกฎ First Law of Thermodynamics เมื่อพลังงานไม่สามารถสร้างหรือทำลายได้ แต่เพียงเปลี่ยนรูปแบบ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานในร่างกายของคนเราเมื่อตายไป พลังงานที่ปรากฏนั้น คือ ผีใช่หรือไม่ เมื่อเจาะลึกลงไปในฟิสิกส์พื้นฐาน คำตอบที่ได้นั้น คือ หลังจากที่คนตาย พลังงานในร่างกายของคนเราจะกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อตายไปพลังงานจะถูกปลดปล่อยออกมาในรูปของความร้อน ส่วนของร่างกายจะถูกย่อยสลายโดยสัตว์ แบคทีเรีย รวมถึงการดูดซึมของพืช กลายเป็นพลังงานที่ถูกแปรเปลี่ยนรูปไปนั่นเอง . . สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป ว่าผีมีจริงหรือไม่❓แต่หากเราจะเชื่อว่ามีจริงก็ไม่ผิด หรือหากจะไม่เชื่อก็ไม่ผิดเช่นกัน เพราะเรื่องนี้ถือเป็นความเชื่อที่ละเอียดอ่อนส่วนบุคคล ดังนั้น #ผี 💀จะมีหรือไม่มีในโลก จึงอาจไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักและเข้าใจที่มาของสิ่งเหล่านั้นได้ และไม่แน่ว่า ในวันหนึ่ง เราอาจพบบทสรุปที่แท้จริงได้ ก็เป็นได้ ... 👻🤩 ที่มา: (ลิงก์บทความนี้) #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Halloween #Ghost #ฮาโลวีน #ผี #เรื่องผี #โลกหลังความตาย #สิ่งลี้ลับ #วันปล่อยผี อ้างอิงข้อมูล : https://www.pptvhd36.com/news https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/63214/-scibio-sci- https://www.neurogenius.com/blog/r/16

ทฤษฎีรูหนอน บนจักรวาล MARVELS 🧑🚀🚀👾 _______________ สามารถติดตามบทความอื่น ๆ จาก STeP ได้ที่ 👉: https://cmu.to/wMx8Z กลับมาอีกครั้งกับหนังฟอร์มยักษ์จากค่าย MARVEL STUDIO’S🎬กับเรื่อง #THE MARVELS❗โดยครั้งนี้มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ Multiverse การเดินทางข้ามเวลาทะลุมิติด้วย #รูหนอน🚀🪱 ที่เป็นตัวเชื่อมหลักของเนื้อเรื่องด้วย! สิ่งที่น่าสนใจคือ📍 ‘ทฤษฎีรูหนอน’ หรือประตูข้ามมิติที่เราเคยได้ยินกันมาอย่างเนิ่นนานนั้น.. เมื่อก่อนเราคงมองว่ามันมีแค่ในหนังแฟนตาซี Sci-fi เพียงเท่านั้น! แต่ปัจจุบัน อาจไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป? เพราะล่าสุดทฤษฎีรูหนอนได้ถูกนำมาทดลองค้นหาและจำลองขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว!! 🧐✨ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ทศวรรษ ทฤษฎีนี้ยังคงเป็นหนึ่งในองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่หลายคนเฝ้าฝันและรอให้เกิดขึ้นได้จริงๆ 🛸 เราไปส่องกันว่ามีรายละเอียดอะไรบ้างที่ซ่อนอยู่? ทฤษฎีรูหนอนคืออะไร? แล้วบนโลกของเรานั้นมีอยู่จริงไหม ?? 🧑🚀👇👇 . . 📌รูหนอนคืออะไร? 🪱 👽 รูหนอน (Wormhole) คือ แนวคิดทางทฤษฎีในฟิสิกส์ที่แสดงถึงทางลัดหรืออุโมงค์ผ่านกาลอวกาศ 🚀 เชื่อมต่อจุดสองจุดที่แยกจากกันในจักรวาลหรือแม้แต่จักรวาลที่แตกต่างกันเป็นวิธีการเดินทางที่เร็วกว่าแสงหรือเป็นประตูสู่มิติอื่น เป็นสะพานเชื่อมระหว่างจุดเริ่มต้น-กับปลายทาง ที่มีชื่อเรียกกันว่า สะพานของไอน์สไตล์-โรเซน (Einstein-Rosen Bridge) ✨อธิบายง่ายๆ คือ รูหนอนเป็นเหมือน “ทางลัดผ่านกาลอวกาศ” 👨🚀🪐จากสิ่งหนึ่งเดินทางทะลุผ่านไปยังอีกสิ่งหนึ่งได้ด้วยเวลาที่สั้นลงนั่นเอง! . 📌กาลอวกาศคืออะไร? 🚀 🧑🚀กาลอวกาศ หรือ สเปซ-ไทม์ (Space Time) เป็นแนวคิดพื้นฐานในฟิสิกส์ที่รวมมิติเชิงพื้นที่ทั้งสาม (ความยาว ความกว้าง และความสูง) เข้ากับมิติที่สี่ของเวลาให้เป็นกรอบเดียวกัน แนวคิดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ เวลาไม่ได้มีอิสระในตัวมันเอง แต่เวลารวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับอวกาศ ทั้งสองรวมอยู่ด้วยกันเป็น “กาล-อวกาศ” หรือ Space-Time นั่นเอง ✨ อธิบายง่ายๆคือ “เวลารวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับอวกาศ” เหมือน (ที่วาง + เวลา) ⏳💫 . 📌 อะไรคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ? 👾 ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (Theory of General Relativity) เป็นรากฐานความสำคัญของฟิสิกส์ยุคใหม่ มีไว้สำหรับวัดค่าความเร็วของแสง อัตราความเร็ว-ความเฉื่อย การยืดออกของเวลา การเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง หรือการเดินทางของแสง เป็นหลักการเบื้องต้นของการเคลื่อนที่ของวัตถุใดๆ ก็ตามที่เป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ของฟิสิกส์และสัมพันธ์กับเวลานั่นเอง 🚀🔦⏳ . 📌 ทฤษฎีรูหนอนมาจากไหน? 🧑🚀 🧐 เป็นทฤษฎีที่ถูกคิดค้นโดย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และลูกศิษย์ชื่อ นาธาน โรเซน ซึ่งเป็นการนำเสนอเชิงทฤษฎีไว้ในทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไป ในปี 1905 และ1915 โดยอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง เรขาคณิตของกาลอวกาศ (spacetime geometry) และ สสาร (matter) ผ่านสมการของไอสไตน์ จนหลายปีต่อๆมาก็ได้มีนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์มากมาย👨🔬 นำทฤษฎีนี้มาวิเคราะห์และเสาะหาความจริงกันมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน! . 📌 เกิดขึ้นได้อย่างไร? 🔍 ตามหลักแล้วก็ยังเป็นทฤษฎีที่ยังมีข้อถกเถียงอยู่มาก😵💫 แต่โดยสรุปแล้ว รูหนอนเกิดขึ้นจากการเชื่อมกันเป็นทางเชื่อมของหลุมดำสองแห่ง หลุมดำนั้นเกิดจากดาวฤกษ์ที่มีมวลมหาศาลได้แตกดับลงและสสารที่เคยประกอบเป็นดาวดวงนั้นจะถูกบีบอัดจากแรงดึงดูดของตนเองจนเหลือเป็นมวลหนาแน่นที่มีขนาดเล็กมากๆ 🌑ซึ่งหลุมดำนั้นมีแรงโน้มุถ่วงในตัวสูงมาก จนค่าความโค้งของกาลอวกาศบริเวณนั้นมีค่าเป็นอนันต์ ที่เรียกว่า “ภาวะเอกฐานเชิงความโน้มถ่วง หรือ Gravitational-Singularity” 🌀 เมื่อการพับตัวของปริภูมิ-เวลา (space-time) ได้ทำให้เกิดรูหนอนย่นระยะทางเชื่อมต่อสถานที่สองแห่งในจักรวาล แรงโน้มถ่วงมหาศาลจากวัตถุที่มีมวลมากเช่นจากดาวฤกษ์ที่ปลายทางอีกด้านหนึ่งของรูหนอน ย่อมสามารถจะส่งผ่านมาถึงยังปลายทางด้านตรงข้ามที่เราเป็นผู้สังเกตอยู่ได้ โดยแรงโน้มถ่วงมหาศาลนี้จะทำให้การเคลื่อนที่ของวัตถุอวกาศในฝั่งของเรากวัดแกว่งเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ 👉 👈 . 📌 #รูหนอนกับการข้ามจักรวาล 🚀 👉 ขนาดมิติของรูหนอนที่จำกัด จะทำให้ไม่สามารถส่งสารหรือแม้แต่ข้ามผ่านไปได้อย่างปลอดภัย! 👉 การข้ามผ่านรูหนอน ตัวสารหรือมนุษย์จะถูกบีบอัด สูญหาย หรืออาจพังทลายก่อนที่จะไปถึงได้ 👉 แรงโน้มถ่วงของจักรวาลยิ่งหมุนด้วยความเร็วมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้มีแนวโน้มที่จะยุบตัวลงมากเท่านั้น . 📌 แล้วเราจะข้ามมิติด้วยรูหนอนได้อย่างไร ? ⏳ 👉 รูหนอน ต้องมีสสารแปลกใหม่หรือพลังงานเชิงลบ เพื่อให้พวกมันคงที่และป้องกันไม่ให้พวกมันพังทลาย 👉 รูหนอน ต้องมีขนาดใหญ่พอที่วัตถุอย่างยานอวกาศหรือแม้แต่มนุษย์จะทะลุผ่านได้ 👉 การรักษาเสถียรภาพของรูหนอน เนื่องจากจะต้องอาศัยพลังงานรูปแบบแปลกใหม่และมีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา 👉 สสารลบอันลี้ลับ หรือ exotic negative matter และพลังงานลบหรือ negative energy . 📌ถ้าหากเราสร้างรูหนอนเองล่ะ! จะทำได้อย่างไร? 🌍👾 ในทางทฤษฎีแล้วรูหนอนอาจเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติที่อาจอยู่ที่ไหนสักแห่งบนจักรวาล แต่หากจะทดลองสร้างเอง ล่าสุดทีมนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย(UCSB)ของสหรัฐฯได้เสนอวิธีการทางทฤษฎีเพื่อสร้างรูหนอนแบบที่มั่นคงแข็งแกร่งกว่าปกติ! โดยประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอน👇 👉ต้องทำให้หลุมดำมีประจุไฟฟ้า ⚡ ตามปกตินั้นหลุมดำสามารถจะมีประจุไฟฟ้าในตัวได้อยู่แล้ว โดยหลุมดำประเภทนี้จะมีภาวะเอกฐาน (singularity) ที่ยืดขยายและบิดเบี้ยวได้ ทำให้เกิดช่องทางเชื่อมต่อกับหลุมดำอีกแห่งหนึ่งที่มีประจุไฟฟ้าขั้วตรงข้าม จนกลายเป็นประตูทางเข้าออกของรูหนอนข้ามจักรวาลขึ้นในที่สุด 👉 ต้อง "ผูกโบว์" 🧣 เสริมความแข็งแกร่งด้วยเส้นคอสมิก เส้นคอสมิกเป็นสิ่งที่นักฟิสิกส์สันนิษฐานว่ามีอยู่จริงในทางทฤษฎี โดยเป็นร่องรอยของข้อบกพร่องที่หลงเหลืออยู่หลังเกิดเหตุการณ์บิ๊กแบง เส้นคอสมิกจะสามารถทำให้เกิดแรงดึง (tension) ในระดับมหาศาลขึ้นได้ หากเรานำมันสอดเข้าไปในรูหนอนระหว่างคู่หลุมดำเหมือนร้อยเส้นด้าย จากนั้นดึงที่ปลายทั้งสองข้างของเส้นคอสมิกให้ตึง จนแรงดึงเพิ่มขึ้นถึงระดับที่เป็นอนันต์ ก็จะมีแรงต้านทานให้ทางเข้าออกของรูหนอนเปิดอยู่นานขึ้นและคู่หลุมดำไม่ขยับเข้าใกล้จนมารวมตัวกัน 👉ต้องใช้แรงสั่นสะเทือนจนเกิดพลังงานลบ😵💫📉 ➖ หากต้องการให้รูหนอนมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทีมผู้วิจัยระบุว่าให้ทบปลายทั้งสองข้างของเส้นคอสมิกที่โผล่พ้นรูหนอนให้บรรจบเข้าด้วยกันเป็นวงกลม จะทำให้รูหนอนไม่พังทลายอย่างง่ายดายในชั่วพริบตาเหมือนเช่นเดิม การที่เส้นคอสมิกกลายเป็นวงกลม ทำให้มันบิดตัวไปมาและสั่นอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนสร้างความปั่นป่วนให้กับปริภูมิ-เวลาโดยรอบ ซึ่งหากการสั่นเพิ่มไปถึงระดับที่เหมาะสมแล้ว พลังงานที่อยู่ในบริเวณนั้นจะมีค่าเป็นลบ (negative energy) โดยในทางฟิสิกส์พลังงานนี้จะให้ผลแบบเดียวกับมวลที่เป็นลบ ซึ่งจะทำให้รูหนอนเสถียรได้ . 📌 สรุปแล้วรูหนอนมีอยู่จริงไหม ❓ คำตอบก็คือ ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด 🧐 เพราะยังไม่มีใครเหคยพบเห็นจริงๆ เพียงแต่ในทางทฤษฎีนั้นพิสูจน์ได้ว่ามีจริงเท่านั้นเอง! “แม้ว่ารูหนอนอาจมีอยู่จริง แต่สิ่งมีชีวิตคงไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านมันและรอดไปบอกเรื่องราวให้ใครฟังได้” - ไอล์สไตน์กล่าว การพยายามสร้างสมการและทฤษฏีขึ้นมา ก็เพื่อตอบความเป็นไปไม่ได้เพื่อให้มันมีอยู่จริง! . . ▶✨ถึงแม้ว่าแนวคิดเรื่องรูหนอนอาจดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหลายอย่างที่เรามองข้ามไป ครั้งหนึ่งก็เคยถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้!! ทฤษฎีต่างๆมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สามารถนำไปใช้งานจริงได้ในปัจจุบันและวันหนึ่ง #ทฤษฎีรูหนอน👾 ก็อาจจะเป็นจริงขึ้นได้ในอนาคตมาเช่นกัน 🌍 “ร้อยกว่าปีที่แล้วมนุษย์พึ่งหัดบิน ร้อยปีถัดมาพึ่งได้เหยียบดวงจันทร์ คงต้องอีกเป็นร้อยปี! ถึงจะเดินทางด้วยความเร็วแสงข้ามจักรวาลได้...” 🚀 ที่มา 📌👉: https://www.step.cmu.ac.th/view_content.php?ct_id=TVRJNQ== #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #MARVEL #MARVELCOMICS #THEMARVELS #Multiverse # Wormhole # #ทฤษฎีรูหนอน #เดินทางข้ามเวลา #ข้ามจักรวาล #มาร์เวล อ้างอิงข้อมูล : REPAYTHAILAND - A BRIEF HISTORY OF TIME, UNIVERSE belovedtime.com signorscience.com

เบาได้เบา ไม่งั้นจะเป็น ‘เบาหวาน’ ❗🧋🍩 ____________ สามารถติดตามบทความอื่น ๆ จาก STeP ได้ที่ 👉: https://cmu.to/wMx8Z “พี่คะ ขอหวานน้อยค่ะ” 🧋ประโยคยอดฮิตของเราชาวออฟฟิศ.. ด้วยวิถีของคนที่รักสุขภาพ นาทีนี้ คงต้องสั่งหวานน้อยกันจนติดเป็นนิสัย หลาย ๆ คนอาจเชื่อว่า “เบาหวาน” นั้น เกิดมาจากการรับประทานอาหารที่มีความหวานเพียงอย่างเดียว! ❌ แต่แท้ที่จริงแล้วเบาหวานก็มีอีกหลายสาเหตุที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ซึ่งปัจจุบัน เบาหวานหนึ่งในกลุ่มโรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ก็กลายเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยไปไม่น้อยในแต่ละปี เพราะนอกจากจะไม่ค่อยแสดงอาการแล้ว ใครๆก็ยังสามารถเป็นได้อีกด้วย... เนื่องใน #วันเบาหวานโลก 🌍 STeP จะพามารู้จักกับร่างกายของเราให้มากขึ้นว่า ทำไมร่างกายคนเราถึงต้องการความหวาน? กินหวานแล้วช่วยอะไร? ในเมื่อหวานเกินไปก็ไม่ดี! แล้วหวานแค่ไหนถึงจะพอดี? โรคเบาหวานกับคนไม่กินหวาน? ถ้าสั่ง #หวานน้อย จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงได้จริงหรือ?? 🤨 . . โรคเบาหวานคืออะไร❓🍰 โรคที่เกิดจากเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติในการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน ซึ่งจะทำให้การผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอที่จะช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อน้ำตาลไม่ได้ถูกใช้จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกตินั่นเอง และยังเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากการรับประทานรสหวานเพียงอย่างเดียวอีกด้วย . ชนิดของเบาหวาน❓🍬 👉เบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM) “ขาดอินซูลิน” เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ขาดอินซูลินและไม่สามารถหลั่งอินซูลินได้เลย ซึ่งมักพบในเด็ก 👉เบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T1DM) “ดื้ออินซูลิน” เกิดจากเซลล์ของร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายขาดอินซูลินและทดแทนโดยการสร้างมากขึ้นกว่าปกติ ทำให้ตับทำงานหนักขึ้นจนทำงานไม่ไหว กลายเป็นอินซูลินไม่เพียงพอนั่นเอง เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด มักพบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน ความอ้วน การไม่ออกกำลังกาย และพันธุกรรม 👉เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus, GDM) เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ เกิดในผู้ที่ไม่มีประวัติเป็นเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์ เมื่อคลอดแล้วเบาหวานก็จะหายไป แต่คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นเบาหวานได้อีกในอนาคต 👉เบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ (specific types of diabetes due to other causes) มักเริ่มจาก การเกิดโรคเกี่ยวกับตับเป็นหลัก เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน ตับอักเสบ โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด เป็นต้น ซึ่งเป็นความผิดปกติของร่างกายที่สงผลมาสู่การเป็นโรคเบาหวานได้นั่นเอง โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557 ประมาณการของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป มีผู้ป่วยเบาหวาน 4.8 ล้านคน ในจำนวนนี้มีมากถึง 2 ล้านคน ที่ไม่ทราบว่าตนเองป่วยและยังไม่ได้รับการวินิจฉัย และมีผู้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติหรือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคเบาหวานถึง 7.7 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่า #โรคเบาหวานไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป❗ . . อะไรที่ทำให้เป็น “เบาหวาน” แบบไม่รู้ตัว❓🧋 “พันธุกรรม” และ “พฤติกรรม" ทั้งสองอย่างมีสิทธิ์ทำให้เราเป็นเบาหวานได้ทั้งคู่ ซึ่งเมื่อมีพันธุกรรมแล้ว ใครสักคนจะเป็นเบาหวานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรม!! โดยพฤติกรรมที่ว่า ก็คือ 👉การรับประทานอาหาร “You are what you eat” 🍔 การทานอาหารแปรรูป อาหารที่มีไขมันทรานส์สูง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ทั้งนั้น 👉ลักษณะกิจกรรมการใช้ชีวิต 💪 มีลักษณะนั่งโต๊ะเป็นหลัก มีการขยับร่างกายน้อย เรียกว่า “Sedentary Lifestyle” เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือด ใช้พลังงานน้อย ทำให้เหลือพลังงานสะสมเยอะจนเกิดเป็นโรคอ้วน เพิ่มความเสี่ยงเบาหวานได้ในที่สุด 👉การสูบบุหรี่ 🚬 ทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ในการสร้างอินซูลินเสื่อมเร็วขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานอีกด้วย 👉การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 🍺 เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้อ้วนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้คนที่ดื่มปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดภาวะตับอ่อนอักเสบฉับพลัน กลายเป็นเบาหวานได้ไม่รู้ตัว 👉ความเครียดและการอดนอน 🛌 ความเครียดจะเกิดการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติและผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่งผลร้ายต่อทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิตใจ 👉พฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายอ้วนขึ้น 🧋 ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น ออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมทางกายน้อย เมื่อเราอ้วนขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน เกิดเป็นโรคเบาหวานได้เช่นเดียวกัน . ทำไมร่างกายคนเราถึงต้องการ “ความหวาน” 🍨❓ #ความหวาน 🍨 เป็นตัวแทนของความสุขที่หลายคนนิยามไว้ แต่ในความหมายทางวิทยาศาสตร์และโภชนาการ น้ำตาล หรือ ความหวาน จัดเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกายเรา หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย นายแพทย์อรุณ คงชู อธิบายว่า คนเราจะมีอาการอยากของหวานอยู่บ่อยๆ ซึ่งเรียกว่า “Sugar craving” 🧋 เป็นภาวะที่ร่างกายอยากทานของหวาน ซึ่งจะถูกแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ 👉กลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน 💊 คนที่มีน้ำตาลต่ำจากภาวะต่างๆ เช่น การรักษาเบาหวานด้วยยาบางชนิด คนที่มีอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เผาผลาญน้ำตาลเยอะไป น้ำตาลหรือฮอร์โมนบางตัวต่ำ เป็นต้น 👉ภาวะ Sugar craving 🧋 หรืออาการอยากของหวาน มักจะเกิดจากอารมณ์ ความรู้สึกที่อยากจะทานของหวาน ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีน้ำตาลต่ำ พอได้รับของหวานแล้วจะทำให้มีความรู้สึกดีมากขึ้น ร่างกายจะมีการเรียนรู้ว่าทำแบบนี้แล้วรู้สึกดีขึ้น จนติดเป็นนิสัยนั่นเอง . กินหวานช่วยอะไร❓🍫 👉เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย 👉เป็นแหล่งพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน 👉น้ำตาลช่วยลดความเครียดได้ 👉ช่วยดับร้อน ถอนพิษ แก้อาการอักเสบ 👉ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น 👉ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ . แล้วหวานแค่ไหนถึงจะพอดี❓🧋😄 คนเราควรได้รับน้ำตาลเฉลี่ยแล้ววันละไม่เกิน 6 ช้อนชา สำหรับคนที่ต้องการพลังงาน 2,000 แคลอรี่ ตามหลักโภชนาการ ทั้งนี้สามารถยืดหยุ่นให้เหมาะสมต่อพลังงานที่ได้รับได้ แต่ทางที่ดีควรทานน้ำตาลให้น้อยที่สุด องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า น้ำตาลที่เติมไปในอาหาร ไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้คนเราได้รับพลังงานไม่เท่ากัน จึงต้องมีการควบคุมปริมาณน้ำตาล รวมถึงออกกำลังกายให้พอเหมาะนั่นเอง . . การสั่งหวานน้อย ช่วยลดโอกาสเสี่ยงได้จริงหรือ❓ รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ อธิบายว่า การที่เราสั่งหวานน้อยนั้น เป็นการช่วยลดโหลดแคลอรีที่จะเข้าสู่ร่างกาย คนแต่ละคนต้องการพลังงานไปใช้ไม่เท่ากัน ถ้าเราสั่งอาหารหวาน เราทานไปนิดเดียวจะได้พลังงานเกิน พอพลังงานเกิน ร่างกายกำจัดไม่ได้ หรือใช้ไม่ทัน ก็จะเกิดการสะสม แล้วเกิดการเป็นเบาหวานหรือเกิดความอ้วนขึ้น เพราะฉะนั้นการที่เราสั่งอาหารหวานน้อย เท่ากับเรามีโอกาสที่จะไปทานอาหารอื่นๆ ที่มีคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น ลดโหลดที่ได้จากน้ำตาล ลดพลังงานที่จะเป็นส่วนเกิน โอกาสที่จะเป็นเบาหวานก็จะลดลง ส่วนการเลือกนมหรือผลิตภัณฑ์อาหารที่มี low fat หมายถึง เรากำลังเลือกอาหารที่มีพลังงานน้อย เพราะฉะนั้นการที่เราไม่โหลดร่างกายให้มีพลังงานเกินความจำเป็น โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดเบาหวานก็จะลดลงนั่นเอง รวมถึงปัจจุบัน ยังมี สารให้ความหวานแทนน้ำตาล น้ำตาลเทียม น้ำตาลที่สกัดได้จากธรรมชาติ พืชที่สามารถสกัดมาทำน้ำตาลได้ อาทิ บีตรูต ข้าวโพด เมเปิล ผลปาล์ม หญ้าหวาน ซึ่งนอกจากจะนำมาปรุงรสชาติให้อร่อยกลมกล่อมแล้ว ยังมีประโยชน์และสำคัญต่อร่างกายของเราด้วย . . How to❓ดูแลตัวเอง เลี่ยงเบาหวาน 🩸หมั่นตรวจสุขภาพ เช็คน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ 🍽 เลือกทานอาหารที่ดี สารอาหารครบ5หมู่ 🧁ลดการทานน้ำตาล กินในปริมาณที่พอเหมาะ 🥗เพิ่มใยอาหาร ทานผักใบเขียว 🏋รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ 💪ออกกำลังกายเป็นประจำ 💧ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ 🚭งดสูบบุหรี่ 🍺งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ 🛌พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน หรือเครียดมากเกินไป . . อย่ามองว่า “เบาหวาน” เป็นเรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป❗เพราะมันอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่เราคิด และยังเป็นภัยเงียบที่ไม่รู้ตัวอีกด้วย กว่าจะรู้ตัวก็อาจเป็นไปแล้วก็ได้... สุขภาพเรานั้นสำคัญที่สุด หมั่นตรวจเช็คสุขภาพ ลดหวาน ทานให้พอดี และออกกำลังกายกันด้วยนะ 💪❤ ที่มา 📌👉: https://www.step.cmu.ac.th/view_content.php?ct_id=TVRNeg== #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Healthy #Healthcare #WorldDiabetesDay #วันเบาหวานโลก #เบาหวาน #โรคเบาหวาน #น้ำตาล #ติดหวาน #ลดน้ำตาล #สุขภาพ ขอบคุณที่มา : hellokhunmor Rama Channel Chulalongkornhospital

“ไซ(บีเรียน)” ตัวตึง🐺🐩ทำไมถึงชอบทำตัวแปลก!? 🤪 ________ สามารถติดตามบทความอื่น ๆ จาก STeP ได้ที่ 👉: https://cmu.to/wMx8Z หลายๆคน คงจะชอบไถดูคลิปน้องหมาแมวไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าดูไปสักพักเรามักจะเจอเจ้าหมาสายพันธุ์หนึ่ง! ที่พวกมันช่างโดดเด่นเกินใคร อย่างเจ้า “ไซบีเรียนฮัสกี้” (Siberian Husky) 🐕ที่เรียกได้ว่า เห็นทีไรก็ต้องเตรียมตัวฮาได้เลย เพราะน้องมักจะมีพฤติกรรมแสนแสบแปลกๆ มาให้ดูกันอยู่เสมอ... 😝🤪 ไซบีเรียนฮัสกี้ สุนัขที่มีที่มาที่ไปจาก “หมาป่า” 🐺 ในแถบไซบีเรีย ถ้ามองจากหน้าตาท่าทางเท่ ๆ เหมือนหมาป่านั้น อาจจะคิดว่าสุนัขสายพันธุ์นี้สุขุม ดุดัน แต่!!! ไซบีเรียนคือหนึ่งในสุนัขที่เด๋อที่สุด 🤪เพราะมักแสดงพฤติกรรมตลก ๆ ท่าทางแปลก ๆ หอนเสียงประหลาดและเป็นมิตรจนงงว่านี่มันลูกหลานหมาป่าจริง ๆ ใช่มั้ย... ลบภาพหมาป่าที่ดุร้ายไปได้เลย ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่ารักน่าชังและสร้างอาการปวดหัวให้กับเจ้าของเสียงจริงๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็มีสาเหตุที่เป็นแรงผลักดันให้น้องมีพฤติกรรมสุดตึงขนาดนี้... ❓👇 . . 🐺🐩ไซบีเรียนมาจากไหน? สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี้เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เชื่อกันว่าชนเผ่าชุกชี (Chukchi) เป็นผู้เพาะพันธุ์เพื่อใช้ลากเลื่อนและช่วยงานต่าง ๆ มีต้นกำเนิดมาจากทางฝั่งตะวันออกของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย โดยพัฒนาสายพันธุ์มาจากสุนัขวงศ์สปิตซ์ (Spitz) 🐺 ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 ไซบีเรียน ฮัสกี้ถูกนำตัวไปยังอลาสก้า ประมาณปีค.ศ. 1899-1909 ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามามากมาย หลังจากนั้นสุนัขสายพันธุ์นี้ก็ได้รับความนิยมอย่างเเพร่หลาย รวมถึงแคนาดาในฐานะสุนัขลากเลื่อน และเริ่มเปลี่ยนมาเป็นสุนัขเลี้ยงตามบ้านในภายหลังจนถึงปัจจุบัน 🛷🎿 . 🐺🐩ไซบีเรียนมาจากหม่าป่าหรือไม่? มีงานวิจัยหลายชิ้นที่รับรองว่าสุนัขพันธุ์ชิบะ อินุ ,เชา เชา และเจ้าไซบีเรียนมีบรรพบุรุษเป็นหมาป่า เพราะมี DNA ใกล้เคียงกับหมาป่ามากที่สุด🐺 แต่พวกมันนั้นแยกตัวและมีการพัฒนาจากบรรพบุรุษหมาป่ามาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว เพราะมีการเพาะพันธุ์ขึ้นนั่นเอง . 🐺🐩ไซตัวตึงกับสายพันธุ์ที่ยาวนาน ไซบีเรียนถูกพัฒนาสายพันธุ์ ทั้งในส่วนที่เป็นปริศนานับพันปีก่อนจะเข้าสู่พื้นที่ เช่น เมื่อพวกมันเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ แล้วก็ถูกพัฒนาสายพันธุ์ต่อ โดยถูกเพาะเลี้ยงและฝึกฝนในหลายๆ พื้นที่ ทั้งการลากเลื่อนต่อในเขตหนาวเย็น พัฒนาสายพันธุ์ในพื้นที่กองทัพ เรื่อยมาจนถึงการพัฒนาสายพันธุ์ให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น การพัฒนาให้เจ้าไซมีขนาดเล็กลงนั่นเอง สุดท้าย เราอาจจะพอเห็นมรดกบางอย่างของไซบีเรียน ทั้งจากที่มานับพันปี และจากประวัติศาสตร์ช่วงที่มันทำงานอย่างแข็งขันให้มนุษย์ คำถามหลายอย่างที่เราสงสัยว่า “มันเป็นอิหยังวะ?” (ฮ่าๆๆ)😄ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับความปนเปของลักษณะที่ตกทอดมาอย่างยาวนาน ซึ่งบางอย่างก็ขัดแย้งกันเอง เช่น พลังงานล้นสุดๆ กับบางทีก็ขี้เกียจไปซะเฉยๆ อย่างการนอนแช่ในน้ำ หรือเดินขึ้นรถชาวบ้านหน้าตาเฉย แถมยังชอบส่งเสียงแปลกๆ แต่กลับเห่าไม่เก่ง ชอบหอนตลอดเวลา เป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์ของเจ้าไซ โดยทั่วไปพวกมันชอบทำเสียงแปลกๆ บางทีก็ทำเลียนแบบเสียงเจ้าของหรือมนุษย์ได้ด้วย🤪🐕🦺 . 🐺🐩ไซบีเรียนมีกี่สายพันธุ์? ไซบีเรียน ถูกพัฒนาสายพันธ์มาจากสุนัขวงศ์สปิตซ์ และมีแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้น ก็คือเจ้า ไซบีเรียนฮัสกี้!! เพียงแต่จะมีลักษณะขนอยู่ 2 แบบ คือ แบบขนสั้นและขนยาว 👉ไซบีเรียนฮัสกี้สแตนดาร์ด (Standard) จะมีลักษณะ “ขนสั้น” เป็นแบบที่ตรงตามมาตราฐานของสายพันธุ์ เป็นที่นิยมในการใช้ลากเลื่อนในแถบไซบีเรีย น้องจะมีขน 2 ชั้น แน่นๆ ซึ่งชั้นในจะสั้นและเส้นเล็ก ขนชั้นนอกจะยาวกว่า เส้นใหญ่และหยาบกว่าอีกด้วย 👉ไซบีเรียนฮัสกี้วูลี่โค้ด (Wooly coat) จะมีลักษณะ “ขนยาว” เป็นสายพันธุ์ที่พัฒนามาจากยีนด้อยของสายพันธุ์ มีขนยาวพองฟูหนาแน่นกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีนส์ ขนที่หนาและฟูเป็นพิเศษนี้จะทำให้ขนเปียกชื้นได้ง่าย และอาจจะส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังได้ง่ายอีกด้วย ไม่แนะนำให้เลี้ยงในเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน เพราะขนจะระบายความร้อนได้ยาก . 👀💙ไซแท้ต้องตาสีฟ้าจริงหรอ!? คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิด ว่าไซบีเรียนต้องตาฟ้าเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้ว สีตาของไซบีเรียนมีหลายสี เพราะว่าสีดวงตาของไซบีเรียนนั้นจะแตกต่างจากน้องหมาทั่วไป ถือว่าเป็นลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของไซบีเรียนอีกด้วย อย่างเช่น สีฟ้าข้างหนึ่ง สีน้ำตาลอีกข้าง นั่นเป็นเพราะลักษณะทางพันธุกรรม บางตัวมียีนที่ควบคุมสีของตาโดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากสุนัขสายพันธุ์อื่นๆ ที่มียีนในการควบคุมสีทั้งหมดของร่างกายรวมกัน 💙ตาสีฟ้า (Blue) : เป็นยีนเด่นของไซบีเรียน เป็นสีที่แตกต่างจากสีของขนแต่จะมีความสัมพันธ์กันและโดดเด่นที่สุด ซึ่งเป็นสีที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งขจะมีทั้งสีฟ้าน้ำแข็ง (Ice-Blue) และสีน้ำเงินเข้ม(Dark Blue) 💛ตาสีเหลืองอำพัน (Amber) : เกิดจากยีนที่ควบคุมสีต่างๆ ของร่างกายมีการถ่ายทอดสีมายังตา ส่วนมากไซบีเรียนที่มีตาสีนี้จะมีขนสีดำ, น้ำตาล หรือน้ำตาลเข้ม โดยสีเหลืองอำพันนั้นจะมียีนของสีฟ้าอยู่ด้วยถึงทำให้ตาอีกข้างมักจะมีสีฟ้า 🤎ตาสีน้ำตาล (Brown) : ถูกควบคุมยีนด้วยการปรับเปลี่ยนของยีนเอง ทำให้ส่งผลต่อสีของขน ฉะนั้นหากสุนัขมีตาอีกข้างเป็นสีฟ้าแสดงว่ายีนที่ควบคุมตาสีน้ำตาลนั้นสูญเสียไปอีกข้าง . 🐺🐩อะไรที่ทำให้น้องไซเป็น (ตัวตึง)! #ตัวตึง ในที่นี้คือ น้องค่อนข้างเป็นมิตรกับคนมากๆ และเป็นธรรมชาติของสายพันธุ์น้องไซ ที่ตัวใหญ่ ขี้เล่น ใช้แรงเยอะ ชอบส่งเสียงเหมือนโวยวายตลอดเวลา จนถูกมองว่าเป็นน้องหมาปัญญาอ่อน ตัวตังเลยที่เดียว! ซึ่งในการศึกษาพฤติกรรมของน้องหมาสายพันธุ์ไซบีเรียน สามารถบอกเหตุผลได้ดังนี้ 😁มีความเป็นมิตรสูง เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่สร้างมาเพื่อใช้แรงงาน ไม่สร้างมาเพื่อล่าหรือเพื่อป้องกันภัย ทำให้ไซบีเรียนไม่มีสัญชาตญาณในการระวังภัยหรือการระวังตัวแม้แต่น้อย รู้จักแต่ใช้แรงมากกว่าจะใช้สมอง และพร้อมจะให้การต้อนรับกับทุกคนที่เข้ามาทำความรู้จักหรือเดินทางผ่านเข้ามาทักทาย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ที่ผ่านเข้ามาในสายตาของไซบีเรียน ทุกคนหรือทุกตัวล้วนเป็นเพื่อนเล่นกับไซบีเรียนทั้งนั้น 🤪ขี้เล่น ไซบีเรียนสามารถเล่นได้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว สำหรับเจ้าไซแล้ว น้องมองว่าไม่ใช่การล่า แต่เป็นการเล่น เพื่อความสนุก น้องไม่ชอบอยู่เฉยๆ เพราะด้วยธรรมชาติของน้อง คือการถูกเลี้ยงมาเพื่อใช้ลากเลื่อน 💪ไม่รู้จักเหนื่อย ไซบีเรียนเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่มีพละกำลังมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่ผสมสายพันธุ์ขึ้นมาสำหรับลากเลื่อนบนหิมะ ทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้จึงมีพละกำลังมากเป็นพิเศษ แต่เมื่อนำไซบีเรียนมาเป็นสัตว์เลี้ยง คุณสมบัติด้านพละกำลังก็ยังคงอยู่ บวกกับความขี้เล่น เป็นมิตร ทำให้เวลาการเล่นของไซบีเรียนมีระยะเวลาที่ยาวนานกว่าสุนัขบางสายพันธุ์ เพราะว่าพลังงานที่มีอยู่ในร่างกายจะหมดไปกับการเล่น บางครั้งต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเลยทีเดียว แต่สำหรับคนเราแล้วการที่ไซบีเรียนสามารถเล่นได้ทั้งวันโดยไม่หยุดได้นั้น ถือว่าช่างเป็นสุนัขที่ปัญญาอ่อนเท่านั้นที่จะทำได้ เพราะสุนัขส่วนมากจะเล่นเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และหยุดพัก พร้อมทั้งสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่สำหรับไซบีเรียนแล้ว การเล่นถือเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ตลอดเวลา โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำไมไซบีเรียนปัญญาอ่อน เพราะไซบีเรียนเป็นสุนัขที่มีพลังงานในการเล่นสูงมาก 🐺รักอิสระเหมือนหมาป่า ไซบีเรียนเป็นสุนัขที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก นั้นคือหากชอบหรือต้องการทำสิ่งใดแล้วจะทำโดยไม่คิด และทำตามความต้องการของมันในทันที ไม่ฟังคำสั่งหรือคำห้ามของเจ้าของ ดังนั้นหากไซบีเรียนต้องการเล่น มันก็จะเล่น เล่น เล่นและเล่น โดยที่ไม่สนใจแม้เจ้าของจะออกคำสั่งห้ามเท่าไหร่ก็ตาม ซึ่งไซบีเรียนจะหยุดเล่นก็ต่อเมื่อมันเล่นจนพอใจหรือเล่นจนหมดแรงแล้วเท่านั้น 🔊ชอบหอน (เถียงเก่ง) ไซบีเรียนมีความสามารถในการหอนต่างกับน้องหมาพันธุ์อื่นตรงที่สามารถใช้ลักษณะเสียงในการหอนมาใช้ในการพูดได้อีกด้วย ถึงได้ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นน้องหมาที่พูดเก่งมากที่สุดในโลก ทั้งขี้เถียง ขี้บ่น ง้องแง้ง งอแง ซึ่งไม่ใช่แค่การออกเสียงเป็นคำคำเดียว แต่ออกเสียงได้เป็นประโยคๆ เลยทีเดียว! ❄ชอบอากาศหนาว ขนหนาขนาดนั้นทำให้ไซบีเรียนร้อนง่ายมาก โดยเฉพาะอากาศร้อนอย่างเมืองไทย และเพื่อป้องกันไม่ให้ไซบีเรียนของเรา ขุดกาละมังน้ำแล้วนอนทับน้ำ,ลงไปแช่สระบัว ให้น้องได้อยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวกไม่อบอ้าว ถ้าเปิดเครื่องปรับอากาศให้ในบางเวลาได้ยิ่งดี **อันที่จริงแล้ว น้องก็คงไม่ได้ปัญญาอ่อนหรือแปลกแต่อย่างใด เพียงแค่ น้องมีนิสัยและพลังงานที่สูงมาก จึงทำให้น้องอยากเล่นอยู่ตลอดเวลานั่นเอง! . 📢ทำไมไซ ชอบโวยวายเสียงดัง (หอนเก่ง) ?? ดร. ฮอลลี่ รูท-กัทเทอริดจ์ (Dr. Holly Root-Gutterbridge) นักวิจัยเกี่ยวกับสุนัขบ้านและหมาป่าจากมหาวิทยาลัยลินคอน (University of Lincoln) ในสหราชอาณาจักร บอกว่าน้องหมาไซบีเรียนจะใช้การหอนเพื่อการสื่อสารเป็นหลัก เพราะน้องได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากสายพันธุ์สุนัขลากเลื่อน ที่ต้องส่งเสียงก็เป็นเพราะพวกมันสืบเชื้อสายมาจากสุนัขลากเลื่อนที่ต้องใช้การติดต่อสื่อสารกันในฝูงด้วยเสียงหอนเพื่อประสานงาน เชื่อมความสัมพันธ์ และตอบโต้กัน ไม่ใช่แค่หอนยามกลางคืนเท่านั้น แต่เรียกได้ว่า การหอน เป็นวิธีการสื่อสารตามปกติเลยทีเดียว ก็เลยกลายเป็นน้องหมาที่ขึ้นชื่อลือชาว่า เถียงเก่ง ทั้งร้องทั้งหอน โต้ตอบคนได้อย่างแสนรู้ ปกติแล้วไม่ว่าน้องหมาตัวไหนก็จะใช้วิธีเห่าในการสื่อสารกัน แต่สำหรับน้องหมาไซบีเรียนจะเน้นไปทางการหอนเสียมากกว่า เพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างฝูงที่อยู่ห่างไกลกันในป่ากว้างใหญ่อันหนาวเหน็บ การหอนจึงเป็นเพียงวิธีเดียวที่พวกเขาสามารถสื่อสารต่อกันและกันได้ ซึ่งเสียงที่พวกเขาหอนออกมาจะเป็นเสียงโทนต่ำ ช่วงเสียงยาว ทำให้การเดินทางของเสียงสามารถเดินไปได้ในระยะไกลถึง 10 ไมล์เลยทีเดีย . 📢สาเหตุที่ทำให้น้อง “หอน” ! 🗣ต้องการสื่อสาร เตือนภัยฝูง เพราะ เชื้อสายน้องต้องอยู่รวมกันเป็นฝูง จึงมีการหอน เตือนภัยให้แก่สมาชิกในฝูงของตัวเอง 😞ถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง ด้วยความที่ถูกเพาะพันธุ์เชื้อสายมาเป็นฝูง น้องจะไม่ชอบอยู่ตัวคนเดียว เมื่อถูกทิ้งให้อยู่ลำพังก็จะหอนด้วยความเบื่อหน่าย เหงา ซึมได้ 🐕เรียกร้องความสนใจ นิสัยพื้นฐานของน้องไซ เป็นหมาที่อารมณ์ดี ร่าเริงและมีพลังงานเยอะ เมื่อต้องการเล่นหรือไม่มีใครสนใจ ก็จะหอนเพื่อเรียกร้องความสนใจ จนกว่าจะมีคนสนใจนั่นเอง (เหมือนเด็กเลยใช่ไหมล่ะ...) 🦮ไม่ได้ใช้พลังงาน เชื้อสายของน้อง คือพันธุ์ที่มาจากสุนัขลากเลื่อน การมีพละกำลังสูง การได้ใช้แรงงานถือเป็นกิจกรรมอย่างนึงของน้องตั้งแต่สมัยก่อน ถ้าน้องต้องนอนอยู่ทั้งวัน ไม่ได้ออกไปวิ่งเล่น หรือออกกำลังกาย จะทำให้พลังงานเหลือ เบื่อ เครียดและหงุดหงิด ส่งผลให้ หอน ออกมาเรื่อยเปื่อย และอาจจะทำลายข้าวของได้งายเลยทีเดียว . วิธีแก้ปัญหา❓ 👉พาน้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ 👉ฝึกให้มีวินัย 👉แสดงความรักให้น้อง 👉ไม่ปล่อยให้น้องอยู่ตัวคนเดียว 👉แบ่งเวลา และใช้เวลากับน้องให้มาก 👉พาน้องออกไปเดิน ทุกๆวัน 👉พาน้องออกไปเที่ยวบ้างเป็นครั้งคราว จริงๆ พฤติกรรมของน้อง ต่อให้มีเชื้อสาย กรรมพันธุ์แค่ไหน แต่หากเราคอยดูแล เอาใจใส่และฝึกฝนน้อง น้องก็จะเป็นไซที่น่ารักมากๆ เช่นกัน เพราะน้องสามารถเรียนรู้ จดจำได้เก่งหากได้รับการฝึกมาอย่างดี และสิ่งเหล่านี้จะสามารถช่วยลดพฤติกรรม การชอบหอนขอน้องได้! . . สุดท้ายแล้ว การเลี้ยงหมาและการฝึกฝนคือเรื่องจำเป็นพวกมันอาจไม่ได้แปลกเพียงแต่มีนิสัยและพฤติกรรมที่โดดเด่นกว่าหมาพันธุ์ทั่วๆไปเท่านั้น🐶 ไม่ว่าจะจากบรรพบุรุษสืบเชื้อมาจากสายพันธุ์หมาป่าใดๆก็ตาม แต่น้องก็มีความคิดความรู้สึกเช่นเดียวกันกับมนุษย์ 💖... ใครจะบูลลี่ไซบีเรียน อาจจะรบกวนเกรงใจบรรพชน ที่เคยอยู่คู่กับมนุษย์ในดินแดนน้ำแข็งแสนไกลด้วยสักหน่อยนะ ❄☃🛷 ที่มา 📌👉: https://www.step.cmu.ac.th/view_content.php?ct_id=TVRNMg== #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #SiberianHusky #Dog #ไซบีเรียนฮัสกี้ #ไซบีเรียน #ไซตัวตึง #ไซแท้ #ตัวตึง ขอบคุณที่มา : https://ngthai.com https://meunlan.com https://petplease.co

ไขวิทย์ปริศนา ทำไม... กระทงถึงลอยได้? 🪷✨

หนาวนี้ จะหนาวไหม !? ❄️🥶

ความลับ “ซานต้า” กับทฤษฎีแจกของขวัญในคืนวัน #Christmas !🎅🎄❄ __________ เคยสงสัยกันหรือไม่!? ว่าวิธีการแจกของขวัญของซานตาคลอสที่อาศัยเพียงแค่กวางเรนเดียร์ จะสามารถส่งของขวัญให้กับเด็กๆ กว่าล้านคนภายในคืนเดียวได้อย่างไร? 🎁🛷ฟังดูแล้ว ก็คงมีแต่ในหนัง การ์ตูนหรือนวนิยายเท่านั้น🎬... แต่หากเราจะสามารถอธิบายทฤษฎีเหล่านี้ได้ด้วยกฎฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ล่ะ? จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน มาดูกัน.. 👇 👇 . . 🧑🎄🎁ภารกิจส่งของขวัญภายในคืนเดียว? ข้อสงสัยนี้ถูกวิเคราะห์โดยนักวิทยาศาสตร์มากมายอย่างไม่จบสิ้น หากเราลองจินตนาการถึงจำนวนเด็กทั้งหมดทั่วโลกดูแล้วจะเห็นว่า ภารกิจส่งของขวัญนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่คิด... ในปี 2009 เกรกอรี่ โมน (Gregory Mone) บรรณาธิการนิตยสาร Popular Science Magazine ผู้เขียนหนังสือ “The Truth About Santa” ทดลองประมาณจำนวนของเด็กที่ต้องได้รับของขวัญอยู่ที่ราว 300 ล้านชิ้น🧸🎀 ปกติบ้านหนึ่งน่าจะมีเด็กมากกว่าหนึ่งคน ดังนั้น ตัวเลขกลมๆ ที่ซานต้าต้องแวะส่งของขวัญตามบ้านน่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 200 ล้านหลังในคืนเดียว เกรกอรี่ตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าซานต้าใช้เวลาในการส่งของขวัญอย่างเร็วที่สุดบ้านละ 30 วินาที นั่นเท่ากับต้องใช้เวลาถึง 100 ล้านนาที หรือคิดเป็น 190 ปี กว่าซานตาคลอสจะส่งของขวัญเสร็จ! 🤶⌛🏚 . . ⭐🔮ความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ ทุกๆ ปีในช่วงเวลานี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะอธิบายแง่มุมต่างๆ ในเรื่องราวของซานตาคลอส และแม้จะพบเพียงแค่บางส่วนของเรื่อง แต่ก็สามารถอธิบายความมหัศจรรย์วันคริสต์มาสได้ในทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้ 👇 👉 ทฤษฎีสัมพันธภาพซานตาคลอส🧑🎄 ดอกเตอร์เคธี ชีน (Katy Sheen) จากมหาวิทยาลัย Exeter ก็เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบว่า มีหลากหลายองค์ประกอบของตำนานที่ท้าทายความอยากรู้อยากเห็น และจะสามารถเข้าใจได้เมื่อพิจารณาถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (Special Relativity) 🔔⚡ ถูกเสนอขึ้นในปี ค.ศ. 1905 โดยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในบทความเกี่ยวกับพลศาสตร์ไฟฟ้าของวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ (On the Electrodynamics of Moving Bodies) เป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับและได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งและเวลา โดยพิจารณาเฉพาะข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับแรง (ความเร่ง) ดอกเตอร์ชีนคำนวณความเร็วในการเดินทางของซานต้า 🧑🎄 จากจำนวนครัวเรือนที่กำลังเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสทั่วโลกพร้อมกับคาดการณ์จำนวนของเด็กที่อยู่ในครอบครัวเหล่านั้นได้ว่า การไปเยี่ยมเด็กๆ ราว 700 ล้านคนในระยะเวลา 31 ชั่วโมง (การคำนวณคำนึงถึงโซนเวลาทั่วโลก) หมายความว่า ซานตาและกวางขนาดใหญ่ของเขาจะต้องเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 10 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง และด้วยความเร็วขนาดนี้ ทำให้ซานตาคลอสหดตัวและลอดลงมาทางปล่องไฟได้⛪🎉 จากทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ⚡ เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ (มีมวล) ความยาวของวัตถุที่วัดได้จะหดสั้นลงในทิศทางของการเคลื่อนที่ และยิ่งวัตถุใช้ความเร็วในการเคลื่อนที่ในระดับที่ใกล้เคียงกับความเร็วแสง ความยาวที่วัดได้ก็จะยิ่งหดสั้นลง ซึ่งเรียกว่า การหดสั้นของความยาว (Length contraction) หรือการยืดของเวลา (Time dilation) 🚀⏰ . 👉 การยืดของเวลา (Time dilation) ⏰ การยืดของเวลา (Time dilation) ⏰ ส่วนหนึ่งของทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอสไตน์เช่นเดียวกัน โดยอธิบายได้ว่า “เวลาที่ล่วงไปขึ้นกับความเร็วสัมพัทธ์ของกรอบอ้างอิงของผู้สังเกตที่แตกต่างกัน” 🚀คือ วัตถุที่มีการเคลื่อนที่ใกล้เคียงกับความเร็วแสงมาก เวลาก็จะยิ่งช้าลง เมื่อเทียบกับเวลาของวัตถุอื่นที่หยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ช้ากว่า เช่นว่าเมื่อซานตาคลอสเดินทางส่งของขวัญให้แก่เด็กๆ ด้วยความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง นั่นหมายความว่า เวลาของซานตาคลอสจะเดินปกติในกรอบเวลาของซานตาคลอสเอง แต่จะเดินเร็วกว่าเวลาของเด็กๆ ที่อยู่ในบ้านหรืออยู่ในห้องนอนที่ไม่เคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่ช้ากว่า ด้วยเหตุนี้จึงอธิบายได้ว่า ทำไมซานตาคลอสดูไม่แก่ลงเลยทั้งที่แจกของให้เด็กๆ มานานเป็นร้อยปี 🧑🎄💫 ความเร็วที่ซานตาคลอสใช้ในการส่งของขวัญทั่วโลกจะทำให้เขาเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ❤💚 และหากว่า เด็กคนใดเป็นเด็กดีที่สมควรได้รับของขวัญมากกว่าคนอื่น ซานตาก็อาจจะต้องเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น และด้วยความเร็วที่สูงขึ้นจากเดิมนี้ในท้ายที่สุด เขาก็จะค่อยๆ หายตัวไปเช่นภาพของสายรุ้งที่ค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของมนุษย์ เด็กๆ จึงไม่ทันได้เอ่ยคำทักทายต่อเขา กรณีเช่นนี้สามารถอธิบายได้ด้วยปรากฎการณ์ “Doppler effect” ✨🎁 . 👉 ปรากฏการณ์ดอปเปลอร์ (Doppler effect) 〰 ปรากฏการณ์ดอปเปลอร์ (Doppler effect) เป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของความยาวคลื่นหรือความถี่ เนื่องจากความสัมพัทธ์ระหว่างผู้สังเกตกับทิศทางการเคลื่อนที่ของแหล่งกำเนิดคลื่น โดยจะเริ่มต้นด้วยการอธิบายถึงคลื่นสองชนิดนั่นคือ คลื่นแสงและคลื่นเสียง⭐📢 หากแหล่งกำเนิดคลื่นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ผู้สังเกต คลื่นจะถูกบีบอัด ช่วงคลื่นจะห่างกันน้อยลง ความยาวคลื่นจะลดลง (ความถี่สูงขึ้น) ซึ่งหากเป็นคลื่นแสง ความยาวคลื่นที่ลดลงจากแหล่งกำเนิดเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ จะทำให้แสงเลื่อนไปทางสีน้ำเงินของสเปกตรัม (Blue shift) และเมื่อคลื่นแสงเคลื่อนที่ห่างออกไปก็จะเลื่อนไปทางสีแดงของสเปกตรัม (red shift) สำหรับการมองเห็นของผู้สังเกต จะมองเห็นแหล่งกำเนิดที่เคลื่อนที่เข้าและออกจากตัวในระดับสายตาเท่านั้น แต่ด้วยความเร็วของซานตาคลอสแล้ว ไม่มีทางที่เราจะได้เห็นตัวจริงของเขาแน่นอน 🧑🎄🚀 . 👉 คลื่นเสียง 📢 เมื่อแหล่งกำเนิดเคลื่อนที่เข้ามาใกล้จะทำให้เราได้ยินเสียงแหลมสูง และเสียงจะเริ่มทุ้มจนจางหายเป็นความเงียบสนิทเมื่อคลื่นเสียงนั้นเคลื่อนที่ผ่านและเริ่มห่างออกไป (เช่นการเคลื่อนที่ของรถตำรวจที่ติดไซเรน) ซึ่งสำหรับการเคลื่อนที่ของซานตาคลอส การลงจอดของรถเลื่อน หรือแม้แต่เสียงกระดิ่งและเสียงหัวเราะทุ้มลึก “Ho Ho Ho” 🧑🎄 เด็กๆ คงจะได้ยินแค่ในเพลง Merry Christmas🎄❄ แต่หากเด็ก ๆ คนใดได้ยินเสียงดังในคืนวันก่อนคริสต์มาส เสียงนั่นอาจไม่ใช่เสียงของซานต้าที่กำลังหย่อนของขวัญหรือการปืนลงมาทางปล่องไฟ 🎁 แต่อาจเป็นเสียงที่เกิดจากคลื่นกระแทก (Shock waves) ที่เกิดจากกวางเรนเดียร์ที่เร่งความเร็วให้เคลื่อนผ่านอากาศเร็วกว่าความเร็วเสียงที่เรียกว่า “Sonic boom” 🛷🦌 . 👉 อัตราความเร็ว 🚀 ซานต้ามีเวลาในการส่งของขวัญ 31 ชม. 🛷🧑🎄 เนื่องจาก “ช่วงต่างของเวลาและการหมุนของโลก” สมมุติให้ซานต้าเดินทางส่งของขวัญจากด้านทิศตะวันออกไปตะวันตก ดังนั้นซานต้าต้องแวะส่งของขวัญด้วยอัตรา 822.6 ครั้งต่อวินาที บนสมมติฐานว่าแต่ละหลังมีเด็กดี 1 คน ซานตาต้องใช้เวลาภายใน 0.01 วินาทีในการแจกของขวัญในบ้านแต่ละหลัง 🧸 หากสมมติว่ามีบ้าน 91.8 ล้านหลังที่ต้องส่งของขวัญทั่วโลก (ตัวเลขใช้ในการสมมติเท่านั้น) หากระยะทางจากบ้านแต่ละหลัง ห่างกัน 0.78 ไมล์ ซานตาจะใช้ระยะทางทั้งหมด 75.5 ล้านไมล์ ดังนั้นรถเลื่อนจะต้องมีความเร็ว 650 ไมล์ต่อวินาที (3000 มัค) หากจะเปรียบเทียบแล้ว พาหนะที่เร็วที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้นคือ the Ulysses space probe เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 27.4 ไมล์ต่อวินาที 🚀 🛷 . . 🦌 กวางเรนเดียร์ 🌟 เรนเดียร์ 🦌 โดยทั่วไปแล้ว กวางเรนเดียร์สามารถลากสิ่งของที่หนักไม่เกิน 300 ปอนด์❗ แม้ว่าเรนเดียร์ที่บินได้ จะสามารถลากสิ่งของได้ 10 เท่าของปกติก็ตาม เรายังต้องการเรนเดียร์ถึง 214,200 ตัว และนี่ก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน ยังไม่ได้พูดถึงน้ำหนักเลื่อนอีก 353,430 ตัน น้ำหนักนี้หนักเป็น 4 เท่าของเรือเดินสมุทธ Queen Elizabeth 🛥 พิจารณาที่มวล 353,000 ตัน วิ่งด้วยความเร็ว 650 ไมล์ต่อวินาที จะสร้างแรงต้านอากาศสูงมหาศาล จะทำให้เกิดความร้อนที่ตัวเรนเดียร์ในระดับเดียวกับยานอวกาศในขณะกลับเข้า สู่ชั้นบรรยากาศ กวางเรนเดียร์คู่หน้าจะต้องทนรับพลังงาน 14.3 QUINTILLION (14.3 x 10^18) จูลส์ต่อวินาที 🚀 ในระยะสั้นพวกมันจะระเหิดเป็นไอทันที และเกิดลูกโซ่ต่อเรนเดียร์ตัวที่อยู่ข้างหลัง และทำให้เกิดโซนิคบูม เรนเดียร์ทั้งหมดจะระเหิดไปภายในเวลา 0.00426 วินาที ในขณะที่ซานต้าจะถูกแรงกระทำ 17,500.06 เท่าของแรง G ซานต้าที่น้ำหนักตัว 250 ปอนด์ (ค่อนข้างผอม)จะถูกผลักจนล้มไปบนเลื่อนด้วยน้ำหนัก 4,315,015 ปอนด์ 🦌⏰ . . ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น❗และความมหัศจรรย์ของวันคริสมาสต์ อาจมีอยู่จริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่หากจะเชื่อต่อไปก็ไม่ผิด เพราะมันคือช่วงเวลาแห่งความสุข 💖🤶🧑🎄 .... #merrychristmas ! อย่าลืมใช้เวลาช่วงท้ายปีนี้ให้คุ้มค่ากันด้วยนะ 💝 🌟 📌ที่มา👉: https://www.step.cmu.ac.th/view_content.php?ct_id=TVRRMw==
TECH NEWS
(จะเป็นการเขียนบทความ สรุปอัพเดทข่าวสั้น เกี่ยวกับเทรนด์โลกเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ หรือนวัตกรรมสมัยใหม่ ที่น่าสนใจ)

แบตรถ EV ชาร์จเต็มได้ใน 4 นาที 🔋⚡🏎 กับเทคโนโลยีใหม่ในรถแข่งไฟฟ้า ที่ชาร์จเร็วที่สุดในโลก !! ___________ ในยุคนี้ กระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 🔌ก็ยังคงเป็นที่จับตามองและยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง !! ซึ่งโดยปกติแล้วการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั้น จะมีช่วงที่ได้กำลังไฟสูง และค่อย ๆ ลดลงมาตามหลักทางฟิสิกส์ ซึ่งจะใช้เวลานานเกือบ 30-60 นาที ในการชาร์จจนเต็ม แต่ว่าทีมนักศึกษาที่สร้างรถแข่งพลังงานไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์ก็ได้คิดค้นวิธีที่ทำให้แบตเตอรี่ชาร์จจนเต็มได้ ภายในเวลาไม่เกิน 4 นาที ❗ InMotion 🤓🤝ทีมนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีไอโฮเฟ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ (Eindhoven University of Technology: TU/e) สามารถพัฒนาตัวรถแข่งต้นแบบที่มีชื่อว่าแอลเอ็มพีทรี (LMP3) ได้ใน 3 นาที 56 วินาที จากร้อยละ 0 จนเต็มความจุ โดยชาร์จแบตเตอรี่ด้วยกำลังชาร์จ 322 กิโลวัตต์ (kW) ให้กับตัวแบตเตอรี่ขนาดความจุอยู่ที่ 29.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) และเมื่อชาร์จเต็มแล้วตัวรถจะวิ่งได้ไกลสุดประมาณ 250 กิโลเมตร เป็นการสร้างมิติใหม่ในการชาร์จรถยนต์ EV ด้วยเทคนิค ‘การลดความร้อนให้กับตัวแบตเตอรี่’🆒🥶 โดยสร้างระบบหล่อเย็นระหว่างเซลล์ (Cell-level coolant system) แบตเตอรี่ ซึ่งในแบตเตอรี่รถ EV จะมีที่ว่างระหว่างแต่ละเซลล์ให้วางระบบไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น สารทำความเย็น (Coolant) ที่อยู่ในระบบหล่อเย็นจะทำให้กระแสความร้อนจากการชาร์จแบตเตอรี่ไหลผ่านไปสู่ตัวทำความเย็นและระบายออกไป ทำให้การชาร์จไฟสามารถให้กำลังได้อย่างเต็มที่โดยไม่ลดลง เพราะไม่มีความร้อนมาลดกำลังลง ซึ่งการใช้ระบบหล่อเย็นนั้น เป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพจริง หลังจากมีการทดสอบชาร์จกับแอลเอ็มพีทรีกว่า 24 ชั่วโมง 💯 นอกจากนี้ แอลเอ็มพีทรีจะถูกนำไปทดสอบด้วยการลงแข่งในรายการ ‘ทเวนตี้โฟร์ อาวเวอร์ส ออฟ เลอม็อง (24 Hours of Le Mans)’ รายการแข่งรถทรหด 24 ชั่วโมงในฝรั่งเศส 🏎🏁🔥 เพื่อใช้ในการทดสอบการชาร์จภายใต้สภาพแวดล้อมสุดขั้ว โดยหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่ในวงการรถยนต์ EV หันมาทำแบตเตอรี่ที่ชาร์จเร็วได้ในอนาคต #CMUSTeP #Makeinnovationsimple #STePsharing #STePinnonews #innovation #technology #EV #ชาร์จรถยนต์EV #รถแข่งไฟฟ้า ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : https://www.tue.nl/en/news-and-events/news-overview/13-07-2023-inmotion-develops-fastest-charging-electric-race-car-in-the-world

เตรียมพลิกเกม รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต❗ กับแบตเตอรี่ “Solid-State” ที่ชาร์จแค่ 10 นาที แต่วิ่งไกลถึง 1,200 กิโล!🔋⚡🏎 ____________ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า #โตโยต้า (Toyota) กำลังตามตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือ EV ไม่ทัน 🔌แต่ล่าสุด!!ก็เริ่มเดินหน้าพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่แบบโซลิด-สเตท (Solid-state) แทนแบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออน (Lithium-ion) ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ด้วยจุดเด่นสำคัญคือ #การชาร์จที่รวดเร็ว ไม่เกิน 10 นาที แต่มีระยะทางวิ่งได้ถึงหลักพันกิโลเมตร🔥⚡ เมื่อ 12 ตุลาคม 2023 ที่ผ่านมา ทางโตโยต้าได้จับมืออิเดมิตสุ (Idemitsu) 🤓🤝 บริษัทปิโตรเลียมชื่อดังมาเป็นพันธมิตรเตรียมเดินสายพานผลิตแบตเตอรี่โซลิด-สเตทให้ใช้ได้จริง ในการผลิตตามแผนการที่ประกาศไว้ว่าจะผลิตรถแบตเตอรี่โซลิด-สเตทขายจริงปี 2027 นี้ โตโยต้า ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่โซลิด-สเตท (Solid-state) ที่สามารถวิ่งได้ไกล 1,200 กิโลเมตร ด้วยการชาร์จเพียง 10 นาที ❗ หัวใจของ #แบตเตอรี่แบบโซลิดสเตท🔋⚡คือ สารอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) หรือสารที่ละลายน้ำแล้วให้ประจุไฟฟ้าในรูปแบบของแข็ง ซึ่งการก้าวเข้ามาของอิเดมิตสุ (Idemitsu) จะหาวิธีทำให้สารอิเล็กโทรไลต์มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าอิเล็กโทรไลต์แบบเจลของลิเทียมไอออน ซึ่งหากสำเร็จจริงจะทำให้รถ EV มีราคาที่ถูกลงและประสิทธิภาพสูงขึ้น นับเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของโลกที่นำโดยโตโยต้าตามกล่าวอ้างเอาไว้ 🤩👍 แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนระดับโลก ก็อาจมีเวลามากพอในการพัฒนาศักยภาพการชาร์จและความจุของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนด้วยเช่นกัน! สุดท้ายแล้ว...ในปี 2027 ข้างหน้านี้ จะสามารถเป็นปีที่ให้คำตอบได้ว่า แบตเตอรี่โซลิด-สเตทที่โตโยต้ากำลังพัฒนา จะสามารถพลิกเกมรถยนต์ไฟฟ้าได้ในอนาคตหรือไม่...? 🚘🚨 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #STePsharing #STePInnoNews #innovations #technology #ev #Toyota #Battery #SolidState #ชาร์จรถยนต์ev #นวัตกรรม #รถยนต์ไฟฟ้า #แบตเตอรี่ #ชาร์จเร็ว ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : https://thestandard.co/toyota-to-roll-out-solid-state..

รังนกเทียมยักษ์แห่งแรกบนฟาร์มกังหันลม ! 🦅🏡 ปกป้องนกทะเลใกล้สูญพันธุ์และเพิ่มพลังงานสะอาดกลับสู่โลก 🔃🌍 _________ Ørsted บริษัทพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของโลก🌍🍃ในด้านการผลิตฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งและบนบก ร่วมมือกับบริษัท Red7Marine อุตสาหกรรมก่อสร้างทางทะเลที่ขับเคลื่อนอุกปรณ์ด้วยนวัตกรรม ได้ร่วมมือกันติดตั้งโครงสร้างรังเทียมใกล้ชายฝั่ง สามแห่ง ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของอังกฤษ ที่มีแนวคิดเพื่ออนุรักษ์นกทะเลท้องถิ่นสายพันธุ์ ‘นกคิตติเวกขาดำ (Black-Leg Kittiwakes)’ ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ รวมถึงสัตว์มีปีกชนิดอื่นๆ อีกด้วย รังนกเทียมที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘รังนกแห่งแรกในฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง’ 🦅🏡 ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือสายพันธุ์ที่อ่อนแอที่กำลังลดลง ขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้พลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน! บ้านนกขนาดใหญ่สามหลังนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Hornsea 3 โดยรังเทียมอีกสองหลังอยู่ห่างจากแนวชายฝั่งของเซาท์บีช เมืองโลเวสทอฟต์ ประมาณ 1 กิโลเมตร และหลังที่สามอยู่ห่างจากแนวชายฝั่งของเขตอนุรักษ์ธรรมชาติมินสเมียร์ เมืองซัฟฟอล์ก 1.4 กิโลเมตร 🌊 โดยรังเทียมแต่ละหลังนั้น🏡 สามารถรองรับนกได้ถึง 500 คู่ เลยทีเดียว โดยวางอยู่บนเสาโมโนโพล์เหนือน้ำระยะพิทช์และส่วนยื่นของหลังคา พื้นที่ทำรังแต่ละแห่งจะติดตั้งแผง Perspex แบบเลื่อนได้ ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถมองดูนกตื่นจากภายในโครงสร้างโดยที่นกไม่สามารถมองเห็นได้ และยังมีการติดตั้งกล้องเพื่อจับภาพนกที่กำลังสำรวจและพยายามทำรัง อีกทั้งโครงสร้างยังประกอบด้วยฐานโมโนไพล์และแจ็คเก็ตยาแนวภายใน เสาโมโนไพล์แต่ละอันมีน้ำหนักมากกว่า 30 ตัน และถูกฝังลึกลงไปใต้ก้นทะเล 30 เมตร และติดตั้งตัวรังเทียมใกล้ชายฝั่งเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยให้นักวิจัยสามารถคอยสำรวจและทำความเข้าใจนกได้ดีขึ้น เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาและหลีกเลี่ยงการสูญพันธุ์นั่นเอง! รังนกเทียมในฟาร์มกังหันลมนั้นยังได้ถูกพัฒนาสร้างไฟฟ้าและพลังงานสะอาด⚡เพื่อตอบสนองความต้องการเฉลี่ยต่อวัน ของบ้านในสหราชอาณาจักร 3 ล้านหลัง และและคาดว่าจะมีกำลังการผลิตได้สูงสุดถึง 2.85 กิกะวัตต์ ทางบริษัทเชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของสหราชอาณาจักรภายในปี 2593 ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกในปัจจุบัน 🪶💚 #CMUSTeP #MakeInnovationSimple #STePsharing #STePInnoNews #innovation #technology #greenenergy #พลังงานสะอาด #กังหันลม #สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ #อนุรักษ์นก #บ้านนก #รังนก ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : https://www.popsci.com/technology/artificial-nest-wind-farm/ https://www.thaipbs.or.th/news/content/330793